เสื้อนักศึกษา ชุดนักศึกษา หญิง ชาย กระโปรงนักศึกษา ไซส์ใหญ่ กระโปรงทรงเอ ทรงสอบ กระโปรงพรีท พรีทเอวต่ำ กางเกง เข็มขัด ตุ้งติ้ง CAMPUS เครื่องแบบนักศึกษา เสื้อนักศึกษาหญิง เสื้อนักศึกษาชาย เสื้อนักศึกษาไซส์ใหญ่ กางเกงนักศึกษา เข็มขัดนักศึกษา หัวเข็มขัด เนกไทนักศึกษา กางเกงเดฟ กระบอกเล็ก ขาม้า รูปภาพนักศึกษาสวย น่ารัก ใส ข่าวประชาสัมพันธ์ด่วน ร้านชุดนักศึกษา แบล็คแอนด์ไวท์ โดนไฟไหม้
หน้าแรก
เสื้อนักศึกษา
กระโปรงนักศึกษา
กางเกงนักศึกษา
เข็มขัดนักศึกษา
ตุ้งติ้งนักศึกษา
ทรงผมรับปริญญา
ไปมอเตอร์โชว์กับนักศึกษา
นักศึกษากับไอที

เพลงรับน้อง เพลงเชียร์กีฬา
รายชื่อมหาวิทยาลัย/สถาบัน
นักศึกษาพาเที่ยว
แบบทรงผมรับปริญญา
ชุดนักศึกษาหญิง ชุดนักศึกษาชาย กระโปรงนักศึกษาไซส์ใหญ่ university uniform,student uniform,Thailand university, Thai girl,Student girl,Pretty girl เที่ยวนักศึกษา ชุดว่ายน้ำ นางแบบ เรื่องเล่านักศึกษา นักศึกษาขาย ของ ดารา บันเทิง แบบทรงผมรับปริญญา

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เต็มที่แบบ “ณเดชน์ คูกิมิยะ” กับจังหวะชีวิต 2 ภาค

วินาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักหนุ่มลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น อย่าง "ณเดชน์ คูกิมิยะ" ดาราดาวรุ่งหน้าใหม่ ที่พกความหล่อเหลาบาดใจสาวๆ บวกความขี้เล่น ติดดิน ซ้ำเจ้าตัวยังเปิดเผยตลอดว่าเป็นคนพื้นเพภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แถม "เว้าอีสาน" ทุกครั้งที่มีโอกาส มิหนำซ้ำกระแสละครหลังข่าวก็ดังเปรี้ยงๆ เล่นเอานิตยสารหลายสิบปกจองตัวกันให้ควั่ก ไม่ดังตอนนี้แล้วจะไปดังตอนไหน!

แต่ที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบ คือหนุ่มน้อยหน้าใสนิสัยดีคนนี้ นอกจากจะต้องทำหน้าที่เป็นนักแสดงและนายแบบแล้ว เขายังต้องมุมานะในบทบาท "เฟรชชี่" ของสาขาภาพยนตร์และวิดีทัศน์ คณะนิเทศศาสตร์ ม.รังสิต อีกด้วย

...กว่าจะมีผลงานทั้งหลายออกมาให้แฟนๆ ชื่นชมและยังต้องเรียนไปด้วย จะโหด มันส์ ฮา แค่ไหน ตามมาดูกันเลย!



ณเดชน์ คูกิมิยะ หรือชื่อที่คนในครอบครัวเรียกว่า “แบร์รี่” เปิดประเด็นสนทนาด้วยการบอกเหตุผลของการเลือกเรียนในสาขาดังกล่าวว่า เป็นเพราะชื่นชอบการทำงานเบื้องหลัง และการทำภาพยนตร์สั้นมาตั้งแต่ชั้นมัธยมปลายแล้ว เมื่อได้เข้ามาศึกษาต่อ จึงอยากต่อยอดความรู้เกี่ยวกับการทำภาพยนตร์ให้มากขึ้น

"มันเป็นเหมือนการต่อยอดด้วยเพราะผมก็ทำงานในวงการ ต่อมาก็เริ่มสนใจเรื่องการถ่ายภาพด้วยเพราะการเรียนนิเทศฯ ต้องมีกล้อง ต้องใช้เรียนในวิชาการถ่ายภาพเบื้องต้น แล้ว ปี 2 ปี 3 อาจจะต้องถ่ายหนัง ทำหนังสั้น ก็จะต้องใช้กล้องวิดีโอ โดยส่วนตัวแล้วผมชอบถ่ายรูป ฝึกถ่ายรูปมาเรื่อยๆ มีวิชานอกสาขาที่ได้เรียนเกี่ยวกับการถ่ายภาพนิ่ง อาจารย์ก็พาไปถ่ายรูปตามสถานที่ต่างๆ เช่น อยุธยา ก็เหมือนกับเป็นการฝึกถ่ายรูปไปด้วย ก็รู้สึกสนใจครับ"


ดาราดาวรุ่งดวงใหม่รายนี้เล่าต่อว่า การได้ฝึกถ่ายภาพและหาความรู้ด้านนี้อยู่เสมอ มุมมองของภาพเคลื่อนไหวกับภาพนิ่งอาจมีลักษณะในรายละเอียดบางอย่างที่คล้ายๆกัน มีอะไรหลายๆอย่างที่นำมาศึกษาได้ ทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับมุมกล้องและการสื่อความหมายของภาพ โดยเฉพาะการได้เข้าฟังความรู้เรื่องภาพถ่ายท่องเที่ยว ก็ทำให้ได้มุมมองเรื่องการถ่ายภาพมากขึ้น

"ก็ได้เรียนรู้ว่าการถ่ายภาพก็ขึ้นอยู่กับจินตนาการ แล้วก็ความคิดของบุคคลนั้นว่าเขาต้องการจะสื่อภาพออกมาในลักษณะแบบใด และต้องการสื่อให้กับใครดู สำหรับความเป็นจริงของภาพท่องเที่ยว มันก็เป็นความจริงทุกภาพของช่างภาพที่เอามานำเสนอ เขามีความเป็นจริงของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า คนที่มองอาจจะมองไม่เห็นในมุมเดียวกันกับที่เขาสื่อออกมา คือถ้ามันออกมาจริงและสวยด้วยมันก็ดี ดูแล้วก็เกิดความอยากไป"

นอกจากนี้ หนุ่มลูกครึ่งเล่าต่อไปว่า หากมีโอกาสได้เป็นผู้กำกับ จะดีใจมาก เพราะถือเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งที่อยากทำมาตลอด หากมีโอกาสก็ตั้งใจจะเรียนสาขานี้ไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับการทำงานในวงการ

"ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะมีความสามารถขนาดนั้นหรือเปล่า ก็มีอีกตั้งหลายปีที่จะวัดความสามารถของเรา เพราะเพิ่งเรียนชั้นปีที่ 1 เผลอๆอาจจะเรียนไม่ได้อาจจะย้ายสาขาก็ได้ วันหนึ่งอาจปลีกตัวไปทำอย่างอื่นหรืออาจทำงานวงการบันเทิงไปชั่วชีวิตเลยก็ได้ แต่ผมก็มองอีกมุมหนึ่งว่า ผมก็อยู่ในฐานะที่เป็นนักศึกษาอยู่ ตัวงานในวงการมันก็ไม่ได้สำคัญมากกว่าการเรียนในตอนนี้ แต่ว่ามันเป็นโอกาสๆหนึ่งที่ทำให้ผมและครอบครัวมีรายได้ ผมมีเงินเก็บ ได้เจอสังคมที่คนอื่นไม่ได้เจอในขณะที่ยืนอยู่ในฐานะนักศึกษาเหมือนผม"


ณเดชน์ให้ทัศนะเกี่ยวกับการเรียนและการทำงานควบคู่กันว่า การทำ 2 อย่างพร้อมๆ กัน ย่อมมีอุปสรรคแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องเวลาที่เขาจำเป็นจะต้องบริหารจัดการให้ดี เพื่อที่จะสามารถทำทั้งสองอย่างไปพร้อมๆกันได้แม้ว่าจะเหนื่อยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถและความมุ่งมั่นตั้งใจ

"ผมเรียน 3 วัน พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ พุธไม่รับงาน พฤหัสบดี-ศุกร์ รับบ่ายเพราะเรียนเช้า ถ้าวันไหนว่างก็โชคดีไป ถ้าวันไหนมีงานก็ไปทำงาน ถ้าถามว่าเหนื่อยมากถึงขนาดไม่ไหวมั้ย มันก็ไม่ใช่ เรายังพอทำได้อยู่ มันก็เหนื่อยครับแต่ว่าเวลาแม่เห็นเราได้รับรางวัล เห็นผลงานเราตามนิตยสารต่างๆ แม่ก็จะชม จะดีใจ รู้สึกปลื้มในสิ่งที่เราทำ มันทำให้เรารู้สึก เฮ้ย! เราต้องทำได้และทำให้ดีกว่านี้ขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งแม่ก็บอกว่า เรียนก็เรียนแต่อย่าไปเครียด ทำงานก็ทำงานแต่อย่าไปเครียด บางคนบอกว่าจับปลา 2 มือมันยาก เผลอๆ จับไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ความจริงเราอาจจะจับได้นะ แต่เราจะจับยังไง ใช้วิธีไหนจับมากกว่า ก็เหมือนกับว่าตอนนี้ผมเรียนกับทำงาน ผมจะทำยังไงเพื่อที่จะประคอง 2 อย่างนี้ ให้มันได้ตลอดรอดฝั่ง"


ณเดชน์ยังเล่าชีวิตนักศึกษาที่ต้องทำงานคู่กันไปด้วยว่า การเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หากเราทิ้งการเรียน เพื่อหันเข้าหาวงการบันเทิงอย่างเต็มตัว ก็อาจเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป หากวันหนึ่งไม่สามารถอยู่ในวงการได้ ก็กลายเป็นคนไม่มีความรู้ ไม่มีการศึกษา และที่สำคัญต้องเชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่ แม้ว่าวัยรุ่นบางคนจะไม่ชอบ หรือเบื่อที่จะฟัง แต่สำหรับเขากลับมองว่าคำสอนเหล่านั้นเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด

"ตอนนี้การเรียนก็สำคัญกว่า สมมติผมเลือกที่จะทำงานในวงการแล้วไม่เรียน แล้ววันหนึ่งผมไม่ได้ทำงานตรงนั้นแล้ว ก็กลายเป็นคนไม่มีการศึกษา มันดูต่ำต้อยนะในความรู้สึกส่วนตัวของผม คือ ครอบครัวเราตั้งความหวังว่าให้เราเรียนให้จบมหาวิทยาลัย พ่อผมบอกเสมอว่าไม่ต้องต่อโท ต่ออะไรหรอก จบ ป.ตรีแล้วก็ทำงานเอาประสบการณ์ดีกว่า ก็พ่อแม่บอกอะไรเราก็ฟัง อันไหนเราไม่เห็นด้วยเราก็คุยกันได้ ซึ่งส่วนมากคำพูดของผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ พ่อแม่เคยผ่านชีวิตวัยรุ่นวัยเรียนมาก่อน เขาก็จะบอกเราได้ ถ้าน้องๆเพื่อนๆที่อยากเข้าวงการบันเทิง ควรให้พร้อมก่อน พร้อมเรื่องเวลาไหม ความรับผิดชอบคุณพร้อมไหม คุณดูแลตัวเองได้ไหม ครอบครัวคุณพร้อมไหม มันหลายๆอย่าง เอาเป็นว่าก็ตั้งใจเรียนก่อน และเชื่อฟังพ่อแม่ครับ" ณเดชน์ทิ้งท้าย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สาวหล่อหน้าหวาน นัน สุนันทา ยูรนิยม


คงจะคุ้นหน้าคุ้นตากันมาบ้างสำหรับ นัน สุนันทา ยูรนิยม ที่เคยวาดลวดลายการแสดงไว้ในละครหลายเรื่อง ทางช่อง 7 สี ซึ่งตอนนี้ นัน สุนันทา ยูรนิยม ก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในอินเทอร์เน็ตหนาหูมาก ๆ ถึงการสลัดคราบจากสาวน้อยหน้าหวาน กลายเป็นทอมหล่อซะงั้น! ทำให้หนุ่ม ๆ หลายคนถึงกับออกปากเสียด๊าย…เสียดาย กับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แถมยังมีข่าวแว่ว ๆ ว่า นัน สุนันทา ยูรนิยม เป็นตัวเก็งในรอบ 8 คน สุดท้ายของประกวดเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาวปีที่ 7 (The star 7) ซะด้วย ... เอาเป็นว่าเราไปทำความรู้จักกับ นัน สุนันทา ยูรนิยม กันดีกว่าค่ะ


โดย นัน สุนันทา ยูรนิยม ได้เข้าวงการตั้งแต่อายุ 15 ปี และมีผลงานผ่านตาทั้งละคร และโฆษณามามากมายหลายชิ้น อีกทั้งยังได้ประกวดเวทีมิสทีนไทยแลนด์ 2009 อีกด้วย แถมล่าสุดก็ได้เข้าประกวดเวทีเดอะสตาร์ค้นฟ้าคว้าดาวปีที่ 7 เวทีประกวดนักร้องคุณภาพระดับประเทศ ซึ่งยังไม่ทันที่จะประกาศผล 8 คนสุดท้าย แต่คะแนนนิยมจากอินเทอร์เน็ตส่งกำลังใจมาให้ นัน สุนันทา ยูรนิยม กันอย่างล้นหลาม แถมยังมีสาว ๆ ตกหลุมรักในหน้าหวาน ๆ สมัครแฟนคลับ นัน สุนันทา ยูรนิยม กันเป็นแถวเลยทีเดียว

เอ้า..ใครที่ชื่นชอบสาวหล่อคนนี้อย่าง นัน สุนันทา ยูรนิยม ก็ติดตามผลงานของเธอกันต่อไปนะค่ะ


ประวัติ นัน สุนันทา ยูรนิยม

ชื่อ : นัน สุนันทา ยูรนิยม

ชื่อเล่น : นัน

อายุ : 20 ปี

เกิด : วันที่ 1กุมภาพันธ์ พ.ศ.2534

การศึกษา:

ระดับมัธยมศึกษา : ศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์ฯ

ระดับมหาวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ

ผลงาน :

ประกวดเวที มิสทีนไทยแลนด์ 2009

ละคร แว่วเสียงซึง

ละคร เหนือทรายใต้ฟ้า

ละคร สตรีที่โลกลืม

ร้องเพลง ประกอบละครเหนือทรายใต้ฟ้า

ผลงานโฆษณา 16 ชิ้น

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก นัน thestar7

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อยู่ก่อนแต่ง - แต่งก่อนอยู่” ประเด็นฮิตคู่วัยโจ๋มหา’ลัย

อยู่ก่อนแต่ง - แต่งก่อนอยู่” ประเด็นฮิตคู่วัยโจ๋มหา’ลัย
ยุคสมัยนี้ คนจะรักกันไม่ใช่เรื่องยากเหมือนสมัยก่อน โดยเฉพาะวัยโจ๋ทั้งหลายเมื่อมีโอกาสได้ไปเรียนไกลบ้าน ไกลหูไกลตาผู้ปกครอง ก็มีโอกาสพบเจอคนมากมาย ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้เจอกันง่าย รักกันง่าย แล้วก็ "อยู่ก่อนแต่ง" กันง่ายขึ้น จนมีให้เห็นชินตาตามหอพักนักศึกษา บางคู่อยู่ด้วยกันแล้วดูแลเอาใจใส่กันดีเสมอต้นเสมอปลายจนเป็นฝั่งเป็นฝาแต่งงานกันไปในที่สุด ก็นับว่าโชคดีไป แต่ก็ใช่จะเป็นอย่างนั้นทุกคู่ ทุกคน

ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าการอยู่ก่อนแต่งในวัยเรียนส่งผลเสียต่อบางคู่ เช่น การตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม เพราะยังต้องเรียนหนังสือ ตามมาด้วยปัญหาการทำแท้ง เป็นต้น คำกล่าวที่ว่า "รักง่าย หน่ายเร็ว" จึงเสมือนสัญลักษณ์ของวัยโจ๋สมัยนี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้การอยู่ก่อนแต่ง หรือ แต่งก่อนอยู่ จึงมีเหตุผลแตกต่างกันไป

ในมุมมองของต่างชาติ โดยเฉพาะโลกตะวันตก ถือว่าการอยู่ก่อนแต่งเป็นเรื่องปกติ เพราะไหนจะประหยัดเรื่องค่าใช้จ่ายซึ่งมีผลเกี่ยวข้องกับการจ่ายภาษี หรือส่วนลดหย่อนภาษี ยังมีเรื่องข้อผูกพันตามกฎหมาย เพราะบางคนแต่งงานไปแล้วไปด้วยกันไม่ได้ หากต้องการหย่า จำเป็นต้องรออีกเป็นเวลา 2 ปี จึงสามารถเซ็นใบหย่าได้ (สำหรับประเทศในกลุ่ม EU) เพราะรัฐบาลต้องการให้คน 2 คนมั่นใจจริง ๆ ว่าเลิกกัน ไม่ใช่เลิกกันวันนี้ แล้วสัปดาห์ถัดไปกลับมาดีกันอีก หรือหากมีลูกก็ต้องมีผลบังคับในเรื่องเงินเลี้ยงดูด้วย ฉะนั้นต้องมั่นใจจริงๆ ว่าเขาและเธอ สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนอีกคนหนึ่งได้โดยไม่มีปัญหาตามมาในอนาคต

แต่สำหรับ โลกตะวันออกอย่างเมืองไทย ซึ่งในปัจจุบันก็มีการนำวัฒนธรรมแนวคิดของตะวันตกมาปรับใช้ในชีวิตไม่น้อย จึงเป็นเรื่องน่าสนใจว่าความคิดเห็นของนักศึกษานั้น "คิดเห็นอย่างไร กับการอยู่ก่อนแต่ง ?"

เริ่มที่ "แก้ม" นักศึกษาหญิงชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง มองว่าไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร ถ้าความคิดความอ่านโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ รู้ว่าสิ่งไหนผิดหรือถูก ควรป้องกันอย่างไร

“ถ้าเราอยู่กับแฟนแล้วชวนกันเรียน ไม่ได้พากันโดดเรียน หรือกินเหล้าเมายา ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเสื่อมเสียอะไร แต่ก็ขึ้นอยู่กับครอบครัวของเราด้วยว่ารับกับเรื่องแบบนี้ได้หรือเปล่า การให้เหตุผลกับครอบครัวว่า จำเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของเรา ว่ามีจุดประสงค์อย่างนั้นจริงหรือเปล่า หรือแค่โกหกให้ครอบครัวสบายใจ ถ้าครอบครัวเราเข้าใจในสภาวะโลกที่เปลี่ยนไปทุกๆวันได้แล้ว คิดว่าพ่อแม่ก็น่าจะเข้าใจ แล้วเปิดประตูให้เราปรึกษาเรื่องต่างๆกับเขาเพิ่มขึ้นด้วย เพราะการอยู่ก่อนแต่ง สามารถทำให้เรารู้จักคนที่เรารักมากขึ้น ทำให้เราได้เรียนรู้ในตัวของเขามากขึ้น เราจะได้เห็นมุมมองความคิดเขาอย่างแท้จริง ว่าเขาให้เกียรติเราขนาดไหน เขาดูแลเราได้จริงๆหรือเปล่า เขาเป็นคนสม่ำเสมอขนาดไหน” แก้ม กล่าว

นักศึกษารายนี้ กล่าวต่อไปว่า หากรู้ว่าคนที่เราอยู่ด้วยเป็นอย่างไรแล้ว บางครั้งก็ทำให้เราหยุดคิดได้ว่า ความรักที่จะให้กับคนคนหนึ่ง ควรให้มากหรือน้อยขนาดไหน ควรรักเขา หรือรักตัวเองแค่ไหน แล้วให้น้ำหนักกับคำว่ารักมากแค่ไหน สำหรับช่วงเวลานั้น

ด้าน "ทาทา" นักศึกษามหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ คิดว่าการที่นักศึกษาหญิง-ชายอยู่ด้วยกันก่อนแต่ง อาจเป็นเรื่องปกติของคนในสังคมไทยไปแล้ว แต่ก็แล้วแต่มุมมองของคน เพราะผู้ใหญ่อาจไม่เห็นด้วย แต่ถ้าสังคมในเมืองหลวงอาจเป็นเรื่องธรรมดา เพราะการที่อยู่ด้วยกันก่อนแต่ง เหมือนการลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ว่าจะอยู่ด้วยกันได้หรือเปล่า

“ถ้าแต่งงาน แต่ไม่เคยอยู่ด้วยกัน บางครั้งก็อาจจะเบื่อกันได้ เพราะต่างคนต่างไม่เคยรู้นิสัยของแต่ละคนมาก่อน เพราะการแต่งงานไม่ได้เป็นเครื่องวัดว่าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้ตลอดหรือไม่ เหมือนเป็นเพียงข้อตกลงอย่างเป็นทางการให้คนอื่นรับรู้ตามประเพณีที่ถูกต้อง แน่นอนว่าถ้ายึดตามหลักประเพณีก็ต้องแต่งก่อนอยู่ถึงจะเหมาะสม แต่ถ้ามองตามหลักความเป็นจริง จะอยู่ก่อนหรือจะแต่งก่อนไม่ใช่เรื่องสำคัญ มันอยู่ที่การใช้ชีวิตด้วยกันระหว่างคนสองคนมากกว่า” นักศึกษาสาว แสดงความเห็น

ส่วนความเห็นของหนุ่มๆอย่าง "จิ๊บ" นักศึกษาชายชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยรัฐชื่อดัง คิดว่าการอยู่ก่อนแต่งในวัยเรียน เป็นเรื่องธรรมดาของคนยุคนี้ไปแล้ว

“เป็นการทำให้ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ได้รู้นิสัยใจคอที่แท้จริงของอีกฝ่าย และเราก็มีเวลาทบทวนว่าจะไปกับเขาได้ไหม ดีกว่าแต่งแล้วค่อยอยู่ เพราะถ้าแต่งแล้วอยู่ด้วยกัน เมื่อมีปัญหาต่างคนต่างเข้ากันไม่ได้ มารู้อะไรอีกหลายๆอย่างของอีกฝ่ายแล้วรับไม่ได้ ก็อาจสายไปที่จะเลิกคบ แล้วถ้าถึงขั้นต้องหย่าร้างกันจะกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านอีก” จิ๊บให้ความเห็น

แต่สำหรับ "โอม" นักศึกษาชายชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเดียวกัน เห็นว่า คำว่าแต่งงาน ความหมายก็บอกอยู่แล้วว่า จะต้องมีงานเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิต ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น เพราะไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

“เราต้องรับผิดชอบกับอนาคตที่จะเกิดขึ้นภายหน้า วัยรุ่นสมัยนี้อยู่ก่อนแต่งทั้งๆที่บางคนยังต้องแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่เลย ผมคิดว่าเรียนให้จบ มีงานทำก่อน แล้วค่อยคิดจะมีชีวิตคู่ร่วมกัน มันก็ไม่สาย ถ้าสถานะตัวเราเองยังไม่มั่นคง แล้วครอบครัวจะมั่นคงได้ยังไง ส่วนคนที่เห็นว่าการแต่งงานเป็นแค่การอุปโลกน์ ผมคิดว่าเป็นการคิดแบบมักง่ายมากกว่า เป็นการสอนให้คนทำอะไรมักง่าย"

ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงด้านหนึ่งจากการสำรวจของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ที่สำรวจพฤติกรรมเยาวชน ของเด็กและเยาวชน ในรอบปี 2551-2552 โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 150,000 คน ครอบคลุมทั้ง 5 ช่วงวัย คือ ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย อาชีวศึกษา และ อุดมศึกษา พบว่าในเด็กอาชีวศึกษาและอุดมศึกษายอมรับว่าเคยมีเพศสัมพันธ์แล้วเฉลี่ยร้อยละ 37 และยอมรับการอยู่ก่อนแต่งร้อยละ 50 โดยยังพบวัยรุ่นหญิงอายุต่ำกว่า 19 ปีมาทำคลอดจำนวน 69,387 รายหรือเฉลี่ยวันละ 190 ราย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ภาพประกอบจาก forward mail

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สำนวนอังกฤษที่จำเป็นในการจัดการโปรเจ็ค


สำนวนอังกฤษที่จำเป็นในการจัดการโปรเจ็ค
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้จัดการโปรเจ็คหรือเป็นหนึ่งในทีมงานนั้น คุณก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้สำนวนในการดำเนินโปรเจ็คได้เพราะในปัจจุบันจะถูกใช้กันอย่างมากมายในออฟฟิศทั่วโลก ปัญหาก็คือคุณไม่สามารถหาคำแปลสำนวนเหล่านี้ได้จากดิกชันนารี เรียนรู้จากคำแนะนำของเราเรื่องสำนวนภาษาที่ใช้กันในออฟฟิศเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโปรเจ็ควันพรุ่งนี้!
Define the scope หนึ่งในก้าวแรกของการดำเนินโปรเจ็คคือการระบุผลกระทบและขอบเขตของโปรเจ็ค หรือการสร้างproject scope และscopeควรให้รายละเอียดถึงผลิตผลสุดท้ายที่โปรเจ็คนี้ก่อให้เกิด
คุณสมบัติพิเศษ

Establish a timeline ต่อไปคุณควรตัดสินว่าจะใช้ระยะเวลาเท่าใดในการทำแต่ละขึ้นตอนของโปรเจ็คนั้นให้สมบูรณ์โดยการสร้างtimeline เพื่อที่คุณจะรู้ว่าคุณอยู่จุดไหนของโปรเจ็คและทำเวลาได้ดีตรงตามที่กำหนดไว้หรือไม่จนกว่าโปรเจ็คนั้นจะสิ้นสุดลง
Specify target outcomes คุณจะวัดความสำเร็จของโปรเจ็คได้อย่างไร? มันสำคัญที่คุณต้องระบุ target outcomes หรือผลที่ต้องการที่ประมาณผลประโยชน์ได้เพื่อใช้ในการวัดความสำเร็จของโปรเจ็ค
Determine necessary outputs พิจารณาถึงผลผลิต บริการ ธุรกิจ การจัดการ หรือที่กล่าวรวมๆ ว่า outputs ที่จำเป็นเพื่อที่คุณจะบรรลุ target outcomes ให้เป็นผลสำเร็จ
Put a project team together บุคคลกรเป็นหัวใจสำคัญในความสำเร็จของโปรเจ็จของคุณ เลือกสรรเอาพนักงานที่มีความสามารถเข้ามาร่วมในproject teamของคุณ นั่นคือทีมของผู้คนที่ร่วมกันทำงานเพื่อทำโปรเจ็คนั้นให้เป็นผลสำเร็จอย่างที่ตั้งไว้ คุณควรมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบให้แต่ละคนอย่างเหมาะสม
Record milestones เมื่อสมาชิกใน project team แต่ละคนทำสิ่งที่รับผิดชอบหรือขั้นตอนใดที่ระบุไว้สิ้นสุดลงแล้ว อย่าลืมทำการลงบันทึกไว้ด้วย Milestonesหมายถึงทั้งสิ่งที่สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ และสามารถใช้บ่งบอกถึงความก้าวหน้าของโปรเจ็ค
Create baseline metrics ความก้าวหน้าและการดำเนินไปของโปรเจ็คควรถูกประเมินโดยใช้ baseline metrics, ซึ่งก็คือกลุ่มของตัวบ่งชี้ที่ใช้วัดสมรรถภาพของโปรเจ็ค
Set a budget cost ตัดสินว่าคุณกะว่าโปรเจ็คนี้จะใช้งบประมาณเท่าใด และตั้งbudget costไว้ตั้งแต่การเริ่มต้นของโปรเจ็ค คุณสามารถปรับปรุง budget ของคุณและเพิ่มรายละเอียดได้ในภายหลัง
Produce deliverables เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปเป็นผลอย่างน่าพอใจตามที่ตกลงไว้ อย่าลืมเตรียมdeliverables, อย่างเช่นรายงานหรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องทำให้สมบูรณ์ แล้วก็ต้องทำให้เสร็จทันเวลาตามที่กำหนดไว้ด้วย!
Execute risk management ในทุกโปรเจ็คจะมีrisks หรือความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบถึงความสำเร็จหรือความล่าช้าของโปรเจ็คอยู่ด้วยเสมอ ผู้จัดการโปรเจ็คที่ดีจะดำเนินการกับ risk management โดยการระบุ วิเคราะห์ ประเมิน และกำจัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

from English town/MSN