เสื้อนักศึกษา ชุดนักศึกษา หญิง ชาย กระโปรงนักศึกษา ไซส์ใหญ่ กระโปรงทรงเอ ทรงสอบ กระโปรงพรีท พรีทเอวต่ำ กางเกง เข็มขัด ตุ้งติ้ง CAMPUS เครื่องแบบนักศึกษา เสื้อนักศึกษาหญิง เสื้อนักศึกษาชาย เสื้อนักศึกษาไซส์ใหญ่ กางเกงนักศึกษา เข็มขัดนักศึกษา หัวเข็มขัด เนกไทนักศึกษา กางเกงเดฟ กระบอกเล็ก ขาม้า รูปภาพนักศึกษาสวย น่ารัก ใส ข่าวประชาสัมพันธ์ด่วน ร้านชุดนักศึกษา แบล็คแอนด์ไวท์ โดนไฟไหม้
หน้าแรก
เสื้อนักศึกษา
กระโปรงนักศึกษา
กางเกงนักศึกษา
เข็มขัดนักศึกษา
ตุ้งติ้งนักศึกษา
ทรงผมรับปริญญา
ไปมอเตอร์โชว์กับนักศึกษา
นักศึกษากับไอที

เพลงรับน้อง เพลงเชียร์กีฬา
รายชื่อมหาวิทยาลัย/สถาบัน
นักศึกษาพาเที่ยว
แบบทรงผมรับปริญญา
ชุดนักศึกษาหญิง ชุดนักศึกษาชาย กระโปรงนักศึกษาไซส์ใหญ่ university uniform,student uniform,Thailand university, Thai girl,Student girl,Pretty girl เที่ยวนักศึกษา ชุดว่ายน้ำ นางแบบ เรื่องเล่านักศึกษา นักศึกษาขาย ของ ดารา บันเทิง แบบทรงผมรับปริญญา

4 เรื่องต้องรู้ของกลูต้าไธโอน สุดฮิตของสาวอยากขาว

4 เรื่องต้องรู้ของกลูต้าไธโอน สุดฮิตของสาวอยากขาว

ยังเป็นข่าวครึกโครมไม่เลิกรา …ค้นเจอกลูต้าไธโอน(Glutathione) ของปลอมในคอนโดฯบ้าง จับคาหนังคาเขากำลังฉีดกลูต้าฯในรถแถวลานจอดรถบ้าง…

เจ้ากลูต้าฯ “ดัง” เพราะได้ “ผล” สามารถเนรมิตผิวสาวให้ขาวได้หลังจากฉีดไปแค่ 1-2 ครั้ง หรือกินไปเพียง 1 เดือน ทว่าภาพพจน์กลายเป็นเหมือน “ยาอันตราย” เพราะพวกหัวหมอผลิตกลูต้าฯปลอมขายเกลื่อนตลาด บรรยากาศการซื้อขายหรือแม้กระทั่งลักษณะการฉีด กลายเป็นข่าว คล้ายตำรวจจับยาเสพติดซะงั้น

จึงต้องทำความรู้จักอย่างถ่องแท้ จริงๆ แล้ว กลูต้าฯคืออะไร ..ทำให้ผิวขาวได้จริงหรือ ..ปัญหากลูต้าฯในบ้านเรามาจากไหน ฯลฯ เราไปคุยกับ แพทย์หญิงนันท์ภัทร์ สุภาพรรณชาติ แห่ง Apex Profound Beauty และสรุปมาให้ท่านผู้อ่าน 4 ประเด็นหลัก เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องค่ะ

เรื่องที่ 1
กลูต้าไธโอนเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์มาก

ในอเมริกาสมัยก่อนถือว่ากลูต้าไธโอนเป็นอาหารเสริม ทั้งทางกินและทางฉีด

หมอนันทภัทร์ อธิบายการฉีดว่า เป็นการฉีดในอาหาร อย่างอาหารที่ให้คนป่วยนอนในโรงพยาบาล คล้ายกรดอะมิโน(Amino acid) โปรตีนย่อยชนิดหนึ่ง

“กลูต้าฯเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) ตัวเดียวในร่างกาย ที่ร่างกายสร้างขึ้นเองเพื่อกำจัดอนุมูลอิสระ (Free radicals) เนื่องจากตัวมันเองเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ ก็เอาไปรักษาโรคต่างๆ มากมาย สมัยก่อนใช้เรื่องแก้พิษตับ ต่อมามีคนเอาไปรักษาโรคพาร์กินสัน(Parkinson’s disease) ฉีดเสร็จปุ๊บหายไป 3 วัน คนไข้ก็ฉีดไปเรื่อยๆ และเอาไปช่วยเรื่องของมะเร็ง การก่อตัวของมะเร็ง คือ ภาวะอักเสบในร่างกายเยอะๆ ก็เอาแอนตี้ออกซิแดนท์ไปลดการอักเสบ

ระยะหลังก็เป็นเรื่องของแอนตี้เอจจิ้ง(Anti-aging) ทำไงให้ไม่แก่ ทฤษฎีของความแก่ ก็คือ มีสารอนุมูลอิสระเยอะ เค้าก็เอาตัวนี้ไปลดอนุมูลอิสระ ทำไปทำมากลูต้าฯทำให้ผิวขาว เพราะมันทำงานเกี่ยวกับเอมไซม์การสร้างสีตัวหนึ่ง ทำให้การสร้างเม็ดสีถูกเปลี่ยนจากเม็ดสีที่ค่อนข้างคล้ำไปเป็นเม็ดสีที่ค่อนข้างขาวขึ้น ในเอเชียฮิตกันมาก ทางฟิลิปปินส์ใช้กันเยอะ”

นั่นคือ ที่มาของกระแสฮิต อยากขาวต้องฉีดกินกลูต้าฯ

เรื่องที่ 2
แค่ช่วยปรับสีผิวให้อ่อนลง ไม่ใช่ขาวจั๊วะ ขาวนาน

แม้ว่ากลูต้าฯจะสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้นได้ แต่หมอนันท์เผยว่า

“เวลายาออกมา มันจะมีบอกว่าใช้เพื่ออะไร ซึ่งเจ้ากลูต้าฯไม่ได้มีบอกว่าเพื่อผิวขาว และหมอก็ไม่ควรเอาไปใช้เพื่อผิวขาว”

หมอนันท์ไม่แนะนำให้ตั้งใจฉีดเพื่อผิวขาวโดยตรง แต่ถ้าฉีดเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ฉีดเรื่องแอนตี้เอจจิ้ง และได้ผลพลอยได้เป็นผิวขาวผ่องขึ้น

“คนอเมริกันฉีดกลูต้าฯเพื่อล้างพิษ โดยฉีดปีละครั้ง เพื่อแอนตี้ออกซิแดนท์หรือแอนตี้เอจจิ้งบ้าง 10 ครั้งเลิกกัน เดือนละหน หรือสองเดือนหน สามเดือนหน ไม่ได้ฉีดเพื่อเปลี่ยนสีผิว”

เพื่อนเราเคยไปฉีดกลูต้าฯเพียง 2 ครั้งก็เห็นผล แต่แค่เปลี่ยนเฉดสีนิดหน่อย ผ่องขึ้น ไม่ได้ขาวใสปิ๊งถึงกับออร่าออก โดดเด่นมาแต่ไกล

“ฉีดให้ขาวมันไม่คุ้ม เพราะต้องฉีดไปเรื่อยๆ”

เหมือนกับดาราสตรีข้ามเพศที่นอกจากเจื๋อนช้างน้อย กลายเป็นสาวสวยขาวจั๊วะน่าเจี๊ยะ จนผู้ชายแท้ๆ ยังอยากกิน! แหล่งข่าวใกล้ชิดบอกเราว่า เธอไปฉีดกลูต้าฯทุกสัปดาห์ด้วยแน่ะ

“พี่ไทยเราเล่นอาทิตย์ละครั้ง หวังเรื่องผิวขาวเป็นหลัก ฉีดเยอะมาก ซึ่งอะไรก็ตามที่มากเกินไปไม่ใช่ว่าดี”

หมอเตือนในสัจธรรมแห่งความงาม และถึงตอนนี้ยังไม่มีรายงานเรื่องมะเร็ง หมอหลายคนก็คาดคะเนว่า หากเกิดผิวขาวแบบฝรั่ง ผิวจะอ่อนไหวง่ายเหมือนฝรั่ง อาจเป็นมะเร็งผิวหนังเหมือนฝรั่งได้ ฉะนั้นจงอย่าฉีดหรือกินกระหน่ำมากเกินไป

“กินกลูต้าฯเสริมเข้าไปก็ได้ หนึ่งเดือนก็เห็นผล”

ทว่าต้องดูยี่ห้อดีๆ นะคะว่า ผ่านการรับรองจากอย.(สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา)ล่ะยัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต

เรื่องที่ 3
ระวัง! กลูต้าฯปลอมเกลื่อน แถมไม่ได้ฉีดโดยหมอ

กลูต้าฯไม่ใช่ยาอันตราย ไม่ใช่ยาผิดกฎหมาย หากปัญหาบ้านเราคือ ของปลอมตรึมไปหมด แถมบริการฉีดให้ฟรีตามห้องน้ำบ้างลานจอดรถบ้าง ดังที่เป็นข่าว

“ภาพพจน์กลูต้าฯกลายเป็นอันตรายไป เพราะมีกระบวนการผิดวิธี คือ ยาที่นำมาฉีดเป็นยาที่ไม่ได้มาตรฐาน และมีการฉีดเองโดยใครไม่รู้ มันก็เลยต้องถูกห้ามใช้ไง”

หมอนันท์เล่าว่า แม้แต่แพกเกจของปลอมก็เลียนแบบเหมือนของจริงเป๊ะ ขนาดหมอเองยังกลัวซื้อผิดเลย ต้องเดินทางไปซื้อเองที่อเมริกาเพื่อความชัวร์

“การที่จะฉีดอะไรเข้าไปในร่างกายเรา มันอันตรายมาก ไม่ว่าอะไรก็ตามอย่าว่าแต่กลูต้าฯเลย ฉีดวิตามินก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นยาที่เราฉีดเข้าไปในร่างกายต้องผ่านการผลิตที่ได้มาตรฐาน แล้วต้องศึกษามานานว่า เมื่อฉีดยาชนิดนี้เข้าเส้นเลือดคนไข้แล้วไม่แพ้ ไม่มีปัญหา

บางทีเราอาจไม่แพ้กลูต้าฯ แต่อาจแพ้สารปนเปื้อนที่อยู่ในนั้น พวกของปลอมมักมาจากกระบวนการผลิตที่ไม่ดี ไม่ได้มาตรฐาน สิ่งแปลกปลอมหลงเข้าไป พวกนี้คิดว่า ผลิตได้ถูกๆ เหมือนโบท้อกซ์(Botox) ก็ไปทำกันเอง”

และไม่ว่าจะฉีดอะไรเข้าไปในร่างกาย ต้องฉีดโดยหมอผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

“สามารถช่วยเหลือได้ทันทีถ้าเกิดอาการแพ้ขึ้นมา เพราะในการฉีด สิ่งที่เรากลัวที่สุดคือ การแพ้เฉียบพลัน ถ้าหมออยู่ตรงนั้น ก็มั่นใจได้ว่าช่วยเราได้”

เรื่องที่ 4
ยังไม่มีใครเอากลูต้าฯชนิดฉีดไปขึ้นทะเบียนอย.

เน้นย้ำอีกครั้งว่า กลูต้าฯไม่ใช่ยาไม่ได้มาตรฐาน แต่สถานภาพกลูต้าฯชนิดฉีดยังไม่ได้จดทะเบียนเข้าอย.

“พูดง่ายๆ มันเป็นยาที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียน อยู่ดีๆ เอาไปซี้ซั๊วใช้ไม่ได้ และก็ไม่ได้แปลว่าอย.เราไม่ยอมรับนะ แค่ว่าไม่มีใครเอาไปขึ้นทะเบียน”

หมอนันท์ เล่าสภาพเท็จจริงให้ฟังว่า

“เพราะขี้เกียจ กระบวนการต้องรอ 2-3 ปี เสียค่าใช้จ่ายไม่คุ้ม พวกเราในฐานะหมอก็ใช้กันเองซึ่งไม่ผิด เพราะเป็นยามะเร็ง เราเอาไปใช้เพื่อรักษามะเร็ง และมีกฎหมายรองรับกรณีหมอคุยกับคนไข้กันเอง ยาตัวนี้ที่เมืองนอกใช้รักษามะเร็ง แต่ในเมืองไทยยังไม่มี ต้องไปเอายาตัวนี้มาใช้นะ



และแม้แต่เอากลูต้าฯมาฉีดก็ไม่ผิด หมอกับคนไข้คุยกันเองได้ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์และคนไข้ ตกลงรับรู้กันเองว่าใช้ได้แค่ไหน”

แต่ต้องเป็นกลูต้าฯของแท้ ได้มาตรฐานผลิตจากเมืองนอก อย่าง อเมริกา ไม่ใช่ขนเข้ามาจากแถวเวียดนาม หรือจากหาดใหญ่!! ที่สำคัญ หมอต้องมีจรรยาบรรณ อย่าฉีดกระหน่ำ หวังเม็ดเงินเข้ากระเป๋า มากกว่าคุณประโยชน์ด้านความงามและสุขภาพแก่คนไข้!!!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 เมษายน 2553 10:40 น.