เสื้อนักศึกษา ชุดนักศึกษา หญิง ชาย กระโปรงนักศึกษา ไซส์ใหญ่ กระโปรงทรงเอ ทรงสอบ กระโปรงพรีท พรีทเอวต่ำ กางเกง เข็มขัด ตุ้งติ้ง CAMPUS เครื่องแบบนักศึกษา เสื้อนักศึกษาหญิง เสื้อนักศึกษาชาย เสื้อนักศึกษาไซส์ใหญ่ กางเกงนักศึกษา เข็มขัดนักศึกษา หัวเข็มขัด เนกไทนักศึกษา กางเกงเดฟ กระบอกเล็ก ขาม้า รูปภาพนักศึกษาสวย น่ารัก ใส ข่าวประชาสัมพันธ์ด่วน ร้านชุดนักศึกษา แบล็คแอนด์ไวท์ โดนไฟไหม้
หน้าแรก
เสื้อนักศึกษา
กระโปรงนักศึกษา
กางเกงนักศึกษา
เข็มขัดนักศึกษา
ตุ้งติ้งนักศึกษา
ทรงผมรับปริญญา
ไปมอเตอร์โชว์กับนักศึกษา
นักศึกษากับไอที

เพลงรับน้อง เพลงเชียร์กีฬา
รายชื่อมหาวิทยาลัย/สถาบัน
นักศึกษาพาเที่ยว
แบบทรงผมรับปริญญา
ชุดนักศึกษาหญิง ชุดนักศึกษาชาย กระโปรงนักศึกษาไซส์ใหญ่ university uniform,student uniform,Thailand university, Thai girl,Student girl,Pretty girl เที่ยวนักศึกษา ชุดว่ายน้ำ นางแบบ เรื่องเล่านักศึกษา นักศึกษาขาย ของ ดารา บันเทิง แบบทรงผมรับปริญญา

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความในใจของพริตตี้

ความในใจของพริตตี้ความในใจของพริตตี้
1. นู๋เป็นแค่พริตตี้ค่ะ ไม่ใช่เซลล์ อย่าถามข้อมูลลึกได้ม๊ายย กรุก้อเพิ่งมารุ มะเช้านี้เอง

2. โปรดอย่ามาจีบนู๋ ส่วนใหญ่พวกนู๋ มีแฟนแล้ว ทั้งนั้น

3. แล้วแฟนพวกเราส่วนใหญ่ มักไม่หล่อ

4. อย่าชวนกินเหล้าค่ะ เด๋วไม่พอ แดกเหล้าเก่งซ้าาาาา ทุกนาง 55+ จริง ๆ

5. เวลามีงาน เอ่ออออ ครือว่า ไม่ทราบจะถ่ายรูปนู๋ไปทำมัยนักหนาคะ กูเมื่อยยิ้มเหมือนกันนะเว้ย

6. ถึงคุนช่างภาพมือโปรทั้งหลาย ถ่ายรูปนู๋ไม่ต้องใช้ซูมขนาดนั้นหรอกค่ะ โปรดระลึก เสมอนะคะว่า พวกนู๋ทั้งหลายก้อต่างมี สิว กระ ฝ้า หรือริ้วรอยอารยะธรรมต่างๆ ที่ไม่ได้อยากให้ใครเห็นเหมือนกันค่ะ ไม่ใช่ส่องสัตว์เขาใหญ่ ไม่ต้องซูมขนาดนั้น

7. เวลามาถ่ายรูป ละซูม นม ซูม ก้น พวกนู๋รู้นะคะ มันออกทางสีหน้าค่ะ

8. เอ่อ... พริตตี้ไม่จำเป็นต้องใส่บูทก้อได้มั้งคะ ผ้าใบ กูก็ใส่เป็น..

9. ทำไมชอบนึกว่า หนูทำงานสบาย ยืน วันละ 7-8 ชั่วโมงบนรองเท้าส้นสูง 3-4 นิ้ว ยามยังแพ้ ทำไม่ได้นะคะ

10. อย่าคิดว่าพวกนู๋รวย บางเดือนแทบไม่มีแดก คอนเฟิร์ม

11. ถึงคุณแม่ช่างแต่งหน้าค่ะ คือว่า พวกนู๋บางคนก้อไม่ได้ดูดีใน ปากสีแดง หรืออายชาโดว์สีฟ้านะคะ แต่งแม่งบล็อคเดียว

12. อย่าพยายามขอเบอร์ โดยการอ้างว่าจะมีงาน อะไรเทือกนี้ พวกเราทุกคนรู้ทันหมดล่ะค่ะ แต่ไม่อยากพูด กลัวพี่หน้าแหก เจอหลอกแดกจะรู้สึก

13. พวกนู๋บางคน แก่กว่าพี่อีกค่ะ (หน้าด้านเรียกพี่)

14. อย่าพยายามดีใจทุกครั้งที่แซวพวกนู๋ได้ค่ะ ที่นู๋ยิ้ม ไม่ใช่อาย หรือดีใจที่แซว นู๋ด่าในใจอยู่ค่ะ ไอ้หน้าหม้อ ไม่เจียม แต่ด้วยหน้าที่ ด่าออกมาไม่ได้ค่ะ ถ้าชอบไม่ต้องกลัว จะเข้าไปเอง อย่างโจ่งแจ้ง

15. แคสงานนะคะ ไม่ใช่ประกวดนางงาม ถึงจะได้มีคุณสมบัติเพียบพร้อม เลือกซะทำงานระดับโลก

16. งานวันเดียว ราคาไม่ถึง 2พันบาท อย่าเรียกแคสเลยค่ะ หักค่าใช้จ่ายแล้ว พวกนู๋เหลือเงินแทบไม่ถึง 5 ร้อยเลยค่ะ แล้วช่วยจ่ายตังเลยจะดี เพราะมันวันเดียว

17. พวกนู๋ตื่นสาย (มาก) ถึงมากที่สุด

18. นักล่ารางวัลทั้งหลาย เอาไปทำซากอะไรเยอะแยะ คะนั่น พวกนู๋ทุกคนจำหน้าพี่ได้ค่ะ เสนอหน้าทุกงาน

19. เวลามาทำงานให้ตรงเวลา เวลาจ่ายตังขอให้ตรงด้วยนะคะ ทวงแม่งก็ว่า กูผิดเหรอ

20. พวกเราทุกคนมีหน้าที่หรือมีงานต่อค่ะ ถึงเวลาเลิกช่วยให้เลิกด้วยนะคะ ไอ้ประเภทบอกว่านายยังไม่มา หรือว่าอะไรประมาณนี้ไม่เกี่ยวกะพวกกูหนิคะ ถึงเวลาเลิกควรให้เลิกค่ะ เพราะไม่งั้น งานต่อไปเค้าจะว่า "พริตตี้ชอบเลท" ค่ะ

21. เวลามีดารามาร่วมงาน กรุณา ให้เกียรติพวกนู๋บาง คนเหมือนกัน ทำซะกูเป็นขยะเลย พวกนู๋ก็สำคัญ
ที่มา : forward mail

รวมพลังแนวร่วมนิสิต-นักศึกษา ค้าน ‘ม.นอกระบบ’ ไม่เอา ‘บริษัท มหาวิทยาลัย จำกัด’

รวมพลังแนวร่วมนิสิต-นักศึกษา ค้าน มหาลัยนอกระบบ ไม่เอา บริษัท มหาวิทยาลัย จำกัด
กลุ่มแนวร่วมนิสิต-นักศึกษา คัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ เดินสายรณรงค์ใน “ม.ขอนแก่น” แสดงจุดยืนไม่ให้ “มหาวิทยาลัย” กลายเป็น “บริษัท มหาวิทยาลัย จำกัด” เผยอยากมีชีวิตที่สวยงามในมหาวิทยาลัยที่รับใช้ประชาชน
วันนี้ (11 ธ.ค.54) กลุ่มแนวร่วมนิสิต-นักศึกษา คัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายนักศึกษาจาก 11 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ จำนวนประมาณ 80 คน รวมพลังแสดงจุดยืนคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ โดยเคลื่อนขบวนไปที่ตึกอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น และร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อส่งสารถึงอธิการบดีฯ คัดค้านการนำมหาวิทยาลัยขอนแก่นและสถาบันการศึกษาของรัฐ ออกไปเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ (ออกนอกระบบ)
รวมพลังแนวร่วมนิสิต-นักศึกษา ค้าน มหาลัยนอกระบบ ไม่เอา บริษัท มหาวิทยาลัย จำกัด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณหน้าตึกอธิการบดีฯ กลุ่มแนวร่วมนิสิต-นักศึกษาฯ ได้นำป้ายผ้ามาปูเพื่อเปิดให้นักศึกษาเขียนข้อความส่งถึงอธิการบดีฯ และให้กำลังใจกลุ่มเพื่อนนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ออกมาเครื่องไหวในเรื่องการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ อีกทั้งมีการพับจรวดกระดาษเพื่อเป็นการทวงถามถึงการเดินทางมายื่นหนังสือต่ออธิการบดีเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่าเสียงของเหล่านักศึกษาจะดังไปถึงอธิการบดีฯ หรือไม่ อย่างไรก็ตามในวันนี้เป็นวันหยุดของมหาวิทยาลัย จึงไม่มีการออกมารับข้อเรียกร้องของกลุ่มแนวร่วมนิสิต-นักศึกษาฯ

จากนั้น กลุ่มแนวร่วมนิสิต-นักศึกษา ได้นำป้ายผ้าที่เขียนเสร็จเคลื่อนขบวนไปยังศูนย์อาหารและบริการมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้ข้อมูลกับนักศึกษาและประชาชนทั่วไปให้ในรับทราบถึงจุดยืนของการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ก่อนที่จะเคลื่อนขบวนต่อไปยังบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยขอนแก่น และทำการติดป้ายผ้า “หยุด บริษัท ม.ขอนแก่น จำกัด” ที่ป้ายมหาวิทยาลัย พร้อมติดสติ๊กเกอร์สีชมพูไว้ที่ป้ายมหาวิทยาลัยด้วย

นายณัฐพงษ์ ภูแก้ว หนึ่งในกลุ่มแนวร่วมนิสิต-นักศึกษาฯ กล่าวว่า การติดสติ๊กเกอร์สีชมพูนี้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเรามีความคาดหวังในการเรียนรู้และมีชีวิตที่สวยงามในมหาวิทยาลัยที่รับใช้ประชาชน เราอยากมองโลกที่สดใส แม้ในตอนนี้จะยังทำอะไรไม่ได้มากมาย แต่สิ่งที่ทำได้คือการออกมาร่วมกันทำกิจกรรมตรงนี้เพื่อแสดงพลัง

นายณัฐพงษ์ กล่าวถึงการออกมาร่วมเคลื่อนไหวในครั้งนี้ว่า ส่วนตัวเขาคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบมาตั้งแต่ปี 2551 และถึงปัจจุบันผลกระทบที่เกิดขึ้นก็เป็นจริงตามที่เคยคาดการณ์ไว้ เช่นในเรื่องค่าเล่าเรียนที่แพงขึ้นมาก ขณะที่สภาพแวดล้อมทางการศึกษากลับไม่ได้เอื้ออำนวยต่อการเรียนการสอนมากขึ้นกว่าเดิมดังที่เคยมีการกล่าวอ้างก่อนหน้านี้ นอกจากนั้นยังพบว่าการกำหนดนโยบายและอัตราค่าจ้างของมหาวิทยาลัยก็ไปขึ้นกับสภามหาวิทยาลัยที่มีองค์ประกอบเป็นคนคณะอาจารย์และบุคคลภายนอก โดยมีอธิการบดีเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ

จากกรณีตัวอย่างที่มีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยบูรพานำมาบอกเล่าให้กับเพื่อนในเครือข่ายถึงการเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐทำให้เห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น อีกทั้ง ใน พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ของมหาวิทยาลัยบูรพา ยังระบุถึงการตั้งบริษัทของมหาวิทยาลัยเพื่อนำเงินมาใช้บริหารจัดการ ทำให้เกิดเป็นคำถามต่ออุดมการณ์ที่แท้จริงของสถาบันการศึกษา

นายณัฐพงษ์ กล่าวด้วยว่า การเคลื่อนไหวในวันนี้เป็นกิจกรรมต่อจาก เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่เครือข่ายนักศึกษาคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยขอนแก่นออกนอกระบบ ได้เข้ายื่นหนังสือระบุข้อเรียกร้องต่ออธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเมื่อครบกำหนด 7 วัน ตามที่ระบุไว้ภายในหนังสือข้อเรียกร้อง ทางเครือข่ายคงต้องออกมาทำกิจกรรมกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตามในส่วนของเพื่อนกลุ่มแนวร่วมนิสิต-นักศึกษาฯ ได้มีการพูดคุยกันว่า หลังจากนี้จะมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ต่อเนื่องไปยังมหาวิทยาลัยอื่นๆ โดยต่อไปคือมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และจะมีการกระจายข่าวสารผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ในเฟซบุ๊ก

ทั้งนี้ เกี่ยวกับการนำเสนอข่าวการเคลื่อนไหวของนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นเพื่อคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยขอนแก่นออกนอกระบบ นายกิตติชัย ไตรรัตนศิริชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้เขียนชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกรณีไม่ยอมลงลายมือชื่อรับทราบการยื่นหนังสือข้อเรียกร้องของเครือข่ายนักศึกษาในท้ายข่าวดังกล่าวของเว็บไซต์ประชาไท (คลิกเพื่ออ่าน)

“ผมได้ชี้แจงประเด็นคำถามที่นักศึกษาถามทุกคำถามจนนักศึกษาที่มาไม่มีประเด็นจะสอบถามเพิ่มเติมแล้วจึงได้เดินทางกลับ การที่ผมไม่เซ็นรับเอกสารเพราะไม่ใช่หน้าที่ของผม แม้หนังสือจากรัฐบาลที่ส่งมาก็มีเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่แล้ว และผมก็ได้ชี้แจงแล้วว่าคนที่จะรับจดหมายคือกองกลาง สำนักงานอธิการบดี” คำชี้แจงระบุ

อนึ่ง กลุ่มแนวร่วมนิสิต-นักศึกษา คัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ประกอบด้วยเครือข่ายจาก 11 มหาวิทยาลัย ดังนี้ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และมหาวิทยาลัยมหิดล

รวมพลังแนวร่วมนิสิต-นักศึกษา ค้าน มหาลัยนอกระบบ ไม่เอา บริษัท มหาวิทยาลัย จำกัด
รวมพลังแนวร่วมนิสิต-นักศึกษา ค้าน มหาลัยนอกระบบ ไม่เอา บริษัท มหาวิทยาลัย จำกัด
รวมพลังแนวร่วมนิสิต-นักศึกษา ค้าน มหาลัยนอกระบบ ไม่เอา บริษัท มหาวิทยาลัย จำกัด
รวมพลังแนวร่วมนิสิต-นักศึกษา ค้าน มหาลัยนอกระบบ ไม่เอา บริษัท มหาวิทยาลัย จำกัด
ที่มา ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คุณพ่อหล่อที่สุดในโลกของสาวน้อยหัวใจแกร่ง “น้องธันย์ ” เหยื่อรถไฟสิงคโปร์

หากเอ่ยถึง “ด.ญ.ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์” หลายท่านอาจจะยังไม่คุ้นนัก แต่หากจะบอกว่าเธอคือ “น้องธันย์” เหยื่อรถรางไฟฟ้าสิงคโปร์ที่ถูกตัดขา! หลายคนเป็นต้องร้อง อ๋อ
คุณพ่อหล่อที่สุดในโลกของสาวน้อยหัวใจแกร่ง น้องธันย์  เหยื่อรถไฟสิงคโปร์
“น้องธันย์” เด็กหญิงชาวจังหวัดตรัง วัย 14 ปี ประสบอุบัติเหตุ พลัดตกลงไปในรถรางไฟฟ้าสิงคโปร์ ระหว่างที่เธอเดินทางไปศึกษาด้านภาษาที่ประเทศสิงคโปร์ จนกลายเป็นข่าวครึกโครมเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ณ วันนั้น สื่อหลายแขนง มุ่งตรงไปสัมภาษณ์-นำเสนอข่าวการถูกตัดขาทั้งสองข้างของสาวน้อย ที่ใครต่อใครก็มองว่าโชคร้าย... ทว่ากลับตาลปัตร เพราะสิ่งผู้คนในสังคมได้เห็น มิใช่เรื่องราวของสาวน้อยผู้น่าสงสาร น่าหดหู่ แต่เรากลับได้เห็น สาวน้อยที่แสนจะร่าเริงแจ่มใส แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเข้มแข็ง และมีทัศนคติที่ดี มองสิ่งต่างๆ ในแง่บวก ราวกับไม่ได้มีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นกับเธอด้วยซ้ำ!
อ่านเรื่องดีๆต่อ>>>click

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วัยรุ่นนักศึกษาห่วงท้องกว่ากลัวติดเอดส์

วัยรุ่นนักศึกษาห่วงท้องกว่ากลัวติดเอดส์
ศูนย์วิจัยโรคเอดส์หวั่นโรคร้ายกลับมาระบาดอีกครั้ง โดยเฉพาะในกลุ่มชายรักชาย เพราะขาดการป้องกันและไม่ตรวจรักษา อนาถ! วัยรุ่นไทยกลัวท้องมากกว่ากลัวติดเอดส์ สมัครใจกินยาคุมฉุกเฉินมากกว่าใส่ถุงยางอนามัย
ที่ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ศ.เกียรติคุณ นพ.ประพันธ์ ภานุภาค ผอ.ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย กล่าวถึงสถานการณ์โรคเอดส์ว่า ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละ 2 ล้านคน ขณะที่ไทยในปี 2554 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่จำนวน 16,000-20,000 ราย เมื่อเทียบกับเมื่อ 10 ปีก่อนถือว่ามีผู้ติดเชื้อรายใหม่น้อยกว่าอยู่มาก แต่เมื่อเทียบกับการรณรงค์ลดการติดเชื้อเอชไอวีจนนำไปสู่การเป็นศูนย์ โดยเฉพาะการตรวจหาเชื้อเอชไอวีโดยสมัครใจทั่วโลก จะพูดตรงกันว่าไม่ใช่วิธีการที่ดีเลย อย่างที่คลินิกนิรนามซึ่งเปิดบริการมากว่า 10 ปีแล้ว แต่พบว่ามีประชาชนมาตรวจน้อยมาก ทั้งที่รัฐสนับสนุนให้ตรวจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
โดยสถิติผู้มารับการตรวจหาเชื้อเอชไอวีที่คลินิกนิรนามประมาณสัปดาห์ละ 50 คน ในจำนวนนี้พบมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีจำนวน 4-5 ราย ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่ามีการติดเชื้อในกลุ่มชายรักชายมากขึ้น เพราะขาดการป้องกัน, มีคู่นอนหลายคน, มีเพศสัมพันธ์กันง่ายๆ แสดงให้เห็นว่ามีการระบาดหนักในกลุ่มนี้ ดังนั้น ทำอย่างไรจึงจะทำให้คนกลุ่มนี้ตระหนักถึงการป้องกันตัวเอง และตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจรักษามากขึ้น ขณะเดียวกันยังพบด้วยว่า ขณะนี้มีผู้มาขอรับการตรวจรักษาโรคกามโรคด้วย โดยผลการตรวจจะพบใน 1 สัปดาห์ มีผู้ติดเชื้อกามโรค 1 คน ตนจึงกลัวว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะส่งผลให้มีการระบาดของโรคเอดส์ในประเทศไทยอีกครั้ง
"เด็กผู้หญิงไทยมีการใช้ยาคุมฉุกเฉินมากกว่าการใช้ถุงยางอนามัย แสดงว่าหญิงไทยกลัวเรื่องท้องมากกว่ากลัวโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้น การรณรงค์ในเรื่องนี้ก็ต้องทำต่อไปแต่ควรหาวิธีการใหม่ๆ” ศ.เกียรติคุณ นพ.ประพันธ์กล่าว.

เรื่อง : ไทยโพสต์

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แต่งหน้าสวยใสง่าย ๆ สไตล์นักศึกษา


ผู้หญิงเราพอเติบโตเป็นสาว ก็ล้วนแล้วแต่อยากสวย อยากดูดี อยากแต่งแต้มสีสันบนใบหน้าให้มีชีวิตชีวามากขึ้นเพื่อเสริมบุคลิกกันเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ขอให้ได้มีสีสันซักเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว ยิ่งเป็นสาว ๆ วัยมหาวิทยาลัยยิ่งไม่ต้องพูดถึง น้อยคนนักที่อยากจะเปลือยหน้าที่ไร้ซึ่งเครื่องสำอางไปเรียนอย่างแน่นอน แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น สาว ๆ มหาวิทยาลัยหลายคนก็ยังไม่รู้ว่าจะแต่งหน้ายังไงกันดี ให้ดูไม่หนาและสวยสมวัย วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยเอาวิธีง่าย ๆ ที่ทำให้สาว ๆ ดูสวยสดใสเป็นธรรมชาติมาฝากกันจ้า

1. ใช้บีบีครีม หรือรองพื้นชนิดบางเบา แตะลงบริเวณหน้าผาก จมูก ใต้ดวงตา จากนั้นเกลี่ยให้ทั่วบริเวณ อ๊ะ แล้วอย่าลืมที่ลำคอด้วยนะจ๊ะ
2. หากอยากจะปกปิดสิว ให้ใช้คอนซีลเลอร์แต้มบนสิว แล้วใช้นิ้วแตะ ๆ อย่างเบามือที่สุด จนคอนซีลเลอร์กลมกลืนกับผิว
3. ใช้พู่กันแตะแป้งฝุ่น แล้วทาให้ทั่วใบหน้า หลีกเลี่ยงการใช้แป้งผสมรองพื้น หรือแป้งอัดแข็ง เพราะจะยิ่งทำให้ใบหน้าดูหนาเตอะไม่เป็นธรรมชาติ
4. เขียนคิ้วบาง ๆ หรือสาว ๆ คนไหนที่มีขนคิ้วหนาพอประมาณ สามารถเน้นให้เข้มขึ้นได้ด้วยมาสคาราสำหรับคิ้วค่ะ
5. ใช้อายชาโดว์สีมุกที่มีประกายเล็ก ๆ เกลี่ยลงบริเวณใต้หางคิ้ว เปลือกตา และใต้ตาเฉพาะบริเวณมุมตาด้านในทั้งสองข้าง
6. ใช้อายชาโดว์สีส้มอ่อน ชมพูพีช หรือน้ำตาลส้ม แต้มบริเวณหางตาบนทั้งสองข้างเล็กน้อย จากนั้นเกลี่ยเขามาสิ้นสุดบริเวณกลางเปลือกตา ให้กลมกลืนกับอายชาโดว์ประกายมุกที่ลงไว้ก่อนหน้านี้
7. ใช้อายไลเนอร์แบบดินสอ วาดไปตามแนวขนตา โดยให้ชิดแนวขนตามากที่สุด การใช้อายไลเนอร์แบบดินสอนี้ จะทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าอายไลเนอร์แบบน้ำ น่ารักสมวัยค่ะ
8. ใช้มาสคาราปัดขนตาทั้งบนและล่างข้างละ 3 ครั้ง ให้ดูขนตายาวขึ้นแต่ยังคงเป็นธรรมชาติ ไม่ติดกันเป็นแพ เป็นขาแมลงวัน
9. ใช้ทินท์สีส้มหรือชมพู หรือใช้บลัชออนแบบไม่มีประกาย ทาลงบนแก้มให้พอเป็นสีชมพูเลือดฝาด โดยสาว ๆ ที่มีรูปหน้ากลม แก้มเยอะ ให้ปัดลงบริเวณโหนกแก้มเพื่อทำให้หน้าดูมีมิติ ส่วนสาว ๆ ที่มีรูปหน้าตอบหรือเรียวได้รูปอยู่แล้ว ให้ปัดลงบริเวณพวงแก้มทั้งสอง
10. ใช้ทินท์สีส้มหรือชมพู ทาบาง ๆ ลงบนริมฝีปาก จากนั้นใช้นิ้วเกลี่ยให้ทั่ว ปากจะดูมีสีสันขึ้นมาอีกนิดหน่อย พยายามอย่าทาซะจนสีปากเกินจริงนะคะ จากนั้นก็นำลิปกลอสสีใสทาทับตามได้เลยค่ะ
คราวนี้ เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนทุกอย่างแล้ว ให้ใช้แป้งฝุ่นแบบที่ใช้สำหรับเด็ก ทาบาง ๆ ลงบนใบหน้าอีกครั้ง (ย้ำว่าบาง ๆ เพื่อไม่ให้หน้าดูวอกนะคะ) เพื่อเป็นการจบทุกอย่าง และทำให้เครื่องสำอางติดทนนานขึ้นค่ะ คราวนี้ สาว ๆ วัยมหาวิทยาลัยก็สวยแบบเบา ๆ และเป็นธรรมชาติแล้วล่ะค่ะ

story from Kapook.com

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รวมประกาศ! เลื่อนสอบ - เลื่อนเปิดเทอม มหาวิทยาลัย

รูปน้ำท่วม ม.ธรรมศาสตร์รูปน้ำท่วมมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (มกท.)

*มหาวิทยาลัยกรุงเทพ (มกท.) ประกาศเลื่อนเปิดเทอม ทั้งวิทยาเขตรังสิต และวิทยาเขตกล้วยน้ำไทย จากเดิมวันที่ 31 ต.ค. 54 เลื่อนเป็นวันที่ 28 พ.ย. 54 และประกาศปิดวิทยาเขตรังสิตจนถึงวันที่ 30 ต.ค. 54 และ ให้นักศึกษาที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน หรือ ยังไม่ได้ชำระเงินค่าลงทะเบียน ไปติดต่อดำเนินการด้วยตนเอง ที่ฝ่ายทะเบียน วิทยาเขตกล้วยน้ำไท ในวันที่ 27 ต.ค. 54 และ 1,2,3,7 พ.ย. 54 (กำหนดเดิม)

สำหรับนักศึกษาที่ได้ลงทะเบียนล่วงหน้าแล้ว และจ่ายเงินแล้ว (Pre- Register) สามารถลงทะเบียนเพิ่มวิชา ทางระบบ On-Line ได้ ตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค. 54 ส่วนนักศึกษาที่บ้านประสบภัยน้ำท่วม โปรดแจ้งขอผ่อนผันการลงทะเบียนที่ records_office@bu.ac.th ติดตามข้อมูลและสอบถามได้ที่ ฝ่ายทะเบียน 02-350-3500 ต่อ 1551,1552,1553 หรือ
http://www.bu.ac.th/

*มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ประกาศเลื่อนวันเปิดเทอม จาก 31 ต.ค. 54 เป็นวันที่ 14 พ.ย. 2554 ส่วนการลงทะเบียน และการชำระค่าหน่วยกิต/ค่าธรรมเนียม ยังคงตามกำหนดเดิม เนื่องจากนิสิตสามารถลงทะเบียนได้ทางอินเทอร์เน็ต และชำระค่าหน่วยกิตและค่าธรรมเนียมผ่านธนาคาร ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
http://www.registrar.ku.ac.th/ นอกจากนี้ยังมีประกาศเลื่อนวันปิดเทอมจากวันที่ 12 มี.ค. 2555 เป็นวันที่ 19 มี.ค. 2555 อีกด้วย

*จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เลื่อนเปิดเทอมออกไปอีกจาก 26 ต.ค. 54 เป็น 7 พ.ย. 54 นอกจากนั้น ยังสั่งยกเลิกงานวันลอยกระทง ในวันที่ 10 พ.ย. 54 และเลื่อนงานจุฬาฯ วิชาการ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 23-27 พ.ย. 54 ออกไปอย่างไม่มีกำหนด นักศึกษาสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่
http://goo.gl/evcHn

*มหาวิทยาลัยมหิดล ขยายเวลาการลงทะเบียนและชำระค่าธรรมเนียมการศึกษา ภาค 2/2554 ดังนี้ ช่วงลงทะเบียนปกติ ตั้งแต่วันที่ 3- 28 ต.ค. 2554 ขยายระยะเวลาปิดการลงทะเบียนวันที่ 29 ต.ค. - 6 พ.ย. 2554 และชำระค่าลงทะเบียนวันสุดท้าย วันที่ 30 พ.ย. 2554 สามารถดูรายละเอียดได้ที่
http://www.grad.mahidol.ac.th/grad/index.php

*มหาวิทยาลัยรามคำแหง (มร.) ประกาศเลื่อนสอบไล่ประจำภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554 จากเดิมที่กำหนดสอบในช่วง ปลายเดือน ต.ค. 54 ให้เลื่อนไปเป็นวันที่ 14-15, 21-22 มกราคม 2555 แทน รวมถึงส่วนภูมิภาคของนักศึกษาปริญญาตรี 43 จังหวัดด้วย สอบถามรายละเอียดเพิ่ม โทร.0-2310-8611 หรือ
http://www.ru.ac.th

*สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ยังไม่มีประกาศเลื่อนเปิดเทอมอย่างเป็นทางการ ยังเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำเป็นระยะๆ ขณะนี้ยังใช้กำหนดการเดิม คือ นักศึกษาสามารถลงทะเบียนได้ในวันที่ 19-28 ต.ค. 54 และเปิดเทอมในวันที่ 31 ต.ค. 54 หากมีการเปลี่ยนแปลงจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

*มหาวิทยาลัยศรีปทุม ยังไม่มีประกาศเลื่อนเปิดเทอมอย่างเป็นทางการ กำลังดูสถานการณ์น้ำท่วม จะร่วมประชุมในวันศุกร์ที่ 21 ต.ค. นี้ และจะประกาศให้ทราบต่อไป ติดตามได้ที่
http://goo.gl/BWQUG

*มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ประกาศการเลื่อนเปิดภาคเรียนการศึกษาที่ 2/2554 โดยระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เดิมเปิดวันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2554 เลื่อนเปิดวันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2554 และ ระดับปริญญาตรีและระดับบัณฑิตศึกษา เดิมเปิดวันอังคารที่ 18 ตุลาคม 2554 เลื่อนเปิดวันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2554 สอบถามรายละเอียดได้ที่ กองบริการการศึกษา มจพ.โทรศัพท์. 0-2913-2500 ต่อ 1622-1635 และติดตามข่าวสารได้ที่
http://goo.gl/x4zRp

*มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ประกาศยืนยันเปิดเทอมตามกำหนดเดิม! คือวันที่ 31 ต.ค.2554 ในส่วนของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) โรงเรียนประสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (ส่วนขยาย) มศว องครักษ์ กำหนดเปิดเรียนในวันที่ 2 พ.ย. 2554 ตามเดิม หากมีข้อมูลเปลี่ยนแปลงทางมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

*มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช (มสธ.) ประกาศเลื่อนกำหนดการสอบไล่ภาค 1/2554 ของนักศึกษาทุกระดับ และผู้เรียนโครงการสัมฤทธิบัตร รุ่นที่ 76 จากวันเสาร์ที่ 29 และวันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม 2554 เป็นวันเสาร์ที่ 10 และวันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2554 นอกจากนั้น ทาง มสธ.ยังงดจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการเรียนการสอนของนักศึกษาทุกระดับ งดการอบรมชุดประสบการณ์วิชาชีพ และการฝึกปฎิบัติเสริมทักษะชุดวิชาทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ 13-25 ตุลาคม 2554 สอบถามรายละเอียดได้ที่ 02-504-7788

*มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ประกาศปิดทำการ 2 วัน คือ วันที่ 20 และ 21 ตุลาคม 2554 และจะเปิดทำการตามปกติในวันอังคารที่ 25 ตุลาคม 2554 และเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่ 2/2554 จากวันที่ 25 ตุลาคม 2554 เป็นวันที่ 31 ตุลาคม 2554 สอบถามรายละเอียดเพิ่มที่ 02954-7300 กด 0 หรือ 538 หรือ 722 สำหรับนักศึกษาที่มีกำหนดลงทะเบียนเรียนในช่วงเวลาดังกล่าว สามารถติดตามประกาศได้ที่
http://www.dpu.ac.th

*มหาวิทยาลัยรังสิต ประกาศเลื่อนการเปิดการเรียนการสอน จากวันที่ 25 ตุลาคม 2554 เป็นวันที่ 1 พฤศจิกายน 2554 โดยนักศึกษาสามารถติดตามรายละเอียดและข่าวสารได้ที่ แฟนเพจ "RANGSIT UNIVERSITY,THAILAND" หรือ
http://www.rsu.ac.th

*กสพท. ออกประกาศเลื่อนสอบตรงแพทย์-ทันตแพทย์ จากเดิมที่กำหนดสอบวิชาเฉพาะในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2554 เลื่อนไปเป็นวันที่ 25 ธันวาคม 2554 ทั้งนี้ ผู้สมัครสอบสามารถตรวจสนามสอบและพิมพ์บัตรประจำตัวผู้เข้าสอบใหม่หลังวันที่ 15 พฤศจิกายน 2554 ต่อไป สามารถติดต่อสอบถามการสมัครสอบ กสพท.ปีการศึกษา 2555 ได้ที่หมายเลข 0-2419-6446, 0-2419-6463 เฉพาะวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 10.00-12.00 น. และเวลา 14.00-16.00 น. หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ กสพท.
http://www9.si.mahidol.ac.th

*มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) ประกาศเลื่อนการเปิดภาคเรียนไปเป็นวันที่ 14 พฤศจิกายน 2554 ติดตามเพิ่มเติมที่
http://www.rmutt.ac.th/ หรือ http://twitter.com/pr_rmutt โทร. 02-549-3613-15

*มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) ประกาศเลื่อนเปิดเรียนในภาคการศึกษา 2/2554 จากวันที่ 25 ตุลาคม เป็น กำหนดเปิดวันที่ 31 ต.ค. 2554 โดยนักศึกษาสามารถเข้าถึงบริการ และติดตามข่าวสารของมหาวิทยาลัยได้ตามปกติ ที่เว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย
http://www.au.edu รวมถึงบริการ E - Library ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับการลงทะเบียนในปีการศึกษา 2/2254 สามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้ถึงวันที่ 28 ต.ค. 2554 และชำระค่าลงทะเบียนได้ถึง 30 ต.ค. 54

*มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.บางมด) ประกาศเลื่อนเปิดภาคเรียน จากวันที่ 31 ต.ค. 2554 ไปเป็นวันที่ 14 พ.ย. 2554 โดยเปิดให้นักศึกษาลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. - 8 พ.ย. นี้ แต่สำหรับนักศึกษาที่ประสบภัยจากเหตุการณ์น้ำท่วมสามารถลงทะเบียนได้โดยไม่ต้องเสียค่าปรับการลงทะเบียนล่าช้า และอนุมัติให้ผ่อนผันการชำระค่าบำรุงการศึกษาและค่าธรรมเนียม ได้จนถึงวันที่ 30 พ.ย. 2554 หรือสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02-4708000

*มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) กำหนดวันเปิดภาคการศึกษา 2/2554 ตามปกติ ในวันที่ 31 ต.ค. 2554 โดยนักศึกษาภาคปกติสามารถลงทะเบียนเรียนและชำระเงินได้ตั้งแต่วันที่ 24 ต.ค. นี้ หรือติดตามรายละเอียดจากปฏิทินการศึกษาประจำปี 2554 ได้ที่
http://goo.gl/TWwBP

ส่วน *มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ได้เปิดเรียนในภาคการศึกษา 2/2554 ตามปกติแล้ว ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา นักศึกษาสามารถติดตามรายละเอียดได้ที่
http://reg.kku.ac.th

Update on 21 Oct 2011 : 16.35 pm
from : manager online

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เปลี่ยนเวลาเปิด-ปิด มหาวิทยาลัยไม่สอดคล้องไทย

ปรับปฏิทินการศึกษาตามอาเซียน จะเกิดผลกระทบมากกว่าได้ประโยชน์ ชี้หากย้ายเปิดเทอม 1 ไปก.ย.-ธ.ค.อาจเจอน้ำท่วม เด็กไปเรียนไม่ได้ ส่วนเทอม 2 ย้ายไปเปิด ม.ค.-พ.ค.คร่อมหน้าร้อน เด็กอาจไม่อยากไปเรียน แนะ ทปอ.ไปศึกษาผลกระทบหรือสำรวจความเห็นให้ดีก่อนเสนอมาใหม่ “ประสาท” รับหากเลื่อนแล้วไม่เกิดประโยชน์จริง แค่ปรับใกล้เคียงก็พอ

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษา (ศธ.) กล่าวถึงกรณีที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ย้ำมติที่จะให้มีการปรับเลื่อนปฏิทินการศึกษาไทยให้ตรงกับปฏิทินการศึกษาอาเซียน จากเดิมที่มีการเปิดภาคเรียนที่ 1 ในช่วงเดือน มิ.ย.-ต.ค. ภาคเรียนที่ 2 ช่วงเดือน พ.ย.-มี.ค.เปลี่ยนเป็นการเปิดภาคเรียนที่ 1 ในช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค. ภาคเรียน 2 ช่วงเดือน ม.ค.-พ.ค.นั้นว่า ตนมีข้อสังเกตว่าการเปิด-ปิดภาคเรียนนั้น แต่เดิมจะหลบอยู่ 2 ช่วง คือ ช่วงฤดูร้อน กับฤดูฝน ซึ่งจากสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นเวลานี้ ก็สะท้อนให้เห็นว่าหากเปิดเทอมในช่วงฤดูฝน การเดินทางยากลำบากมาก และก็มีแนวโน้มว่าอาจมีปัญหาน้ำท่วมอย่างนี้ทุกปี ซึ่งหากย้อนกลับมาดูปฏิทินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ที่เปิดเทอม 1 ระหว่างเดือน มิ.ย.-ต.ค. ถือว่าเป็นการหลบหน้าน้ำแล้ว แต่ถ้าหากปรับปฏิทินมาเป็นเปิดเทอมระหว่างเดือน ก.ย.-ธ.ค. ช่วงนี้จะเจอน้ำเต็มๆ

นอกจากนี้ การเปิดเทอม 2 ที่ปัจจุบันเปิดระหว่างเดือน พ.ย.-มี.ค. ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวอยู่แล้ว และไม่กระทบกับฤดูร้อน แต่หากมีการปรับปฏิทินใหม่ตามอาเซียน ให้ไปเปิดเทอมระหว่างเดือน ม.ค.-พ.ค. อาจจะไปคร่อมกับฤดูร้อน อาจทำให้เด็กไม่อยากมาเรียน ส่งผลผลกระทบต่อการจัดการศึกษาอุดมศึกษา และการศึกษาขั้นพื้นฐานได้ ดังนั้น ตนจึงอยากให้ ทปอ.ไปศึกษาผลกระทบและสำรวจความคิดเห็นให้รอบด้านก่อน เพราะหากจะมีมติอะไรออกไปก็ต้องมีคนที่เห็นด้วย และต้องไม่กระทบต่อการเรียนการสอนมากนัก

“หากมหาวิทยาลัยจะเลื่อนปฏิทินการศึกษาส่วนอื่นก็จะต้องปรับตัวตามด้วย แต่เบื้องต้นก็ต้องดูความชัดเจนว่า หากเราปรับตามเขาเราจะมีประโยชน์อะไร เพราะเรามีปัญหาว่าหากจัดการเรียนการสอนในฤดูน้ำหลากแล้ว ก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไรกับนักเรียนเลย และก็คงจะไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตกับคนไทยสักเท่าไหร่ ดังนั้น ก่อนที่ ทปอ.จะมีมติก็ต้องรับฟังความเห็นก่อน ซึ่งหากคนส่วนใหญ่เห็นด้วยผมก็จะไม่ขัดข้อง” รมว.ศธ.กล่าว

ด้าน ศ.ดร.ประสาท สืบค้า อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ในฐานประธาน ทปอ. กล่าวว่า ในเร็วๆ นี้ ทปอ.เตรียมจะศึกษาอย่างละเอียดกรณีการปรับเลื่อนปฏิทินดังกล่าว เพราะต้องการจะดูว่าหากเลื่อนแล้วจะส่งผลกระทบอะไรต่อการเรียนการสอนหรือไม่ ซึ่งอย่างที่หลายฝ่ายให้ความเป็นห่วงว่า การเลื่อนไปตรงกับช่วงฤดูฝนและฤดูร้อนจะไม่เกิดประโยชน์กับเด็กนั้น ประเด็นนี้เราก็จะนำไปศึกษาให้ละเอียดด้วย อย่างไรก็ตาม ทปอ.ก็ยังไม่ได้ยืนยันปฏิทินที่ตายตัวว่าจะต้องเลื่อนให้ตรงกับอาเซียนทั้งหมด เพราะหากศึกษาแล้วพบว่าการเลื่อนดังกล่าวสร้างผลกระทบมากกว่าประโยชน์นั้น ก็อาจจะเลื่อนให้ใกล้เคียงอาเซียนก็พอ.

from : thaipost.net

ฉันท้อง...เสียตัว เสียอนาคต เพราะไอ้คนชั่ว "ข่มขืน"

ฉันท้อง...เสียตัว เสียอนาคต เพราะไอ้คนชั่ว ข่มขืน นักศึกษา
มีสองขีดปรากฏชัดขึ้นมาบนแผ่นทดสอบ ฉันร้องไห้โฮ อยากตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด เป็นไปได้อย่างไรที่ฉันท้อง ฉันถูกไอ้คนใจชั่วข่มขืนแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

วันที่พ่อด่าทออย่างรุนแรงและไล่ฉันออกจากบ้าน เพื่อนคนหนึ่งพาฉันเข้ากรุงเทพฯ เพื่อฝากทำงานในร้านขายอาหารย่าฝั่งธนฯ ฉันมีหน้าที่เสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มให้ลูกค้า

สี่วันแรกทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น ฉันเริ่มทำงานได้คล่องแคล่วมากขึ้น แต่ใจก็ยังอยากกลับบ้าน คิดถึงแม่ และหายโกรธพ่อแล้ว อยากรู้ว่าถ้ากลับไปบ้าน พ่อจะยังโกรธจะไล่ฉันอีกไหม

วันที่ห้าของการทำงาน อยู่ลูกค้าคนหนึ่งก็ถามขึ้นมาว่าคืนนี้ไปนอนกับเขาได้ไหม เขากระเป๋าหนักนะ ฉันสั่นหน้าด้วยความตกใจ ไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง รีบกลับเข้าหลังร้าน สักพักเฮียเจ้าของร้านเดินเข้ามาตาม เขาบอกให้ฉันไปกับลูกค้า ห้ามปฏิเสธ เด็กเสิร์ฟทุกคนต้องทำงานนี้ทั้งนั้น

ฉันไม่ยอม เฮียไม่ได้บอกฉันก่อน และถ้าฉันรู้ฉันจะไม่ทำงานร้านนี้อย่างแน่นอน

“หนูออกก็ได้”

ฉันโพล่งออกไปเพราะหัวเด็ดตีนขาดฉันก็จะไม่ทำอย่างนี้

“ใจเย็นๆ จิบเบียร์เย็นๆ แล้วคุยกันไปเรื่อยๆ เรื่องทุกเรื่องตกลงกันได้” เฮียพูด

ฉันเคยลองกินเบียร์กับเพื่อนๆ ไม่ค่อยชอบเพราะมันขมมากกว่าอร่อย แต่ก็ยกแก้วขึ้นจิบด้วยความเกรงใจ เฮียชวนคุย ถามเรื่องทางบ้าน เรื่องโน้นเรื่องนี้

เวลาผ่านไปแค่เดี๋ยวเดียวฉันเริ่มรู้สึกง่วงนอนอย่างรุนแรงเสียงเฮียบอกว่าง่วงก็ไปนอนก่อนแล้วกัน จะเดินไปส่งห้องพักซึ่งอยู่หลังร้าน

ฉันก้าวเข้าไปในห้องพัก เฮียเดินตามมาประชิดตัว แล้วหัวฉันก็หมุนติ้ว มองอะไรไม่เห็น สติดับวูบ พอเริ่มรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาเฮียนั่งอยู่ปลายเตียง

เขาบอกว่าเพิ่งรู้ว่าฉันยังบริสุทธิ์อยู่ ขอโทษที่ทำลายฉัน ขอรับผิดชอบทุกอย่าง แล้วเขาก็ลุกขึ้น บอกว่าเดี๋ยวจะกลับเข้ามา ฉันฉุกคิดขึ้นในใจ ถ้าเขากลับมาพร้อมคนอื่นๆ อีกล่ะ ฉันกำลังจะถูกรุมโทรมหรือเปล่า เรื่องราวที่เคยอ่านในหนังสือพิมพ์แว่บเข้ามาในหัว

สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ฉันรีบลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าแล้วเดินเลาะออกไปทางหลังร้าน มอเตอร์ไซด์รับจ้างวิ่งผ่านมา ฉันรีบเรียกให้ไปส่งหน้าปากซอย ฉันโทรไปหาลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกัน เขาย้ายมาอยู่กรุงเทพนานแล้ว แต่บ้านอยู่ไกลเกือบถึงพระประแดง เขาบอกทางให้ฉันขึ้นรถเมล์ไปหา

ฉันอยู่กับเขาได้เกือบเดือน ก็เดินทางกลับบ้านเพราะญาติส่งข่าวมาว่าพ่อหายโกรธแล้ว ฉันกลับไปเรียนหนังสือต่อ เพราะปิดเทอมพอดี ทุกเย็นพอเลิกเรียนก็ไปเรียนพิเศษต่อเหมือนเดิม

ชีวิตกลับเข้าสู่ความปกติอีกครั้ง มีเพียงลูกพี่ลูกน้องที่กรุงเทพคนเดียวเท่านั้นที่ฉันเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง เราสัญญากันว่าจะเก็บเป็นความลับ เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป

ฉันกลับบ้านได้เกือบสองเดือน เพิ่งสังเกตว่าเมนส์ไม่มานานแล้ว พยายามนึกทบทวนถึงครั้งสุดท้ายที่เมนส์มา น่าจะสองสามเดือนมาแล้ว หรือว่าฉันจะท้อง

ฉันก้มลงมองขีดสองขีดบนแผ่นทดสอบอีกครั้ง ความคิดหมุนติ้ว ถ้าฉันเข้ากรุงเทพไปบอกเฮีย เขาจะยอมรับหรือเปล่าว่าเป็นลูกของเขา เขาจะเชื่อหรือว่าฉันไม่มีแฟน ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับใคร แล้วฉันจะต้องออกจากโรงเรียน หมดอนาคตไปเลยหรือเปล่า

น้ำตาเริ่มไหล ฉันตั้งใจจะเรียนให้สูง พ่อแม่ก็ตั้งใจอย่างนั้น เพราะเขาเหลือลูกพียงคนเดียว พี่ชายสองคนตายจากไปเพราะรถชนกันเมื่อปีที่แล้ว พ่อแม่ตั้งใจทุ่มเทให้ฉันเต็มที่ ฉันจะทำอย่างไรดี ตอนนี้ฉันท้องสามเดือนแล้วใช่ไหม สารพัดคำถามวิ่งวนอยู่ในหัว

หลายวันต่อมา ฉันตัดสินใจเด็ดขาดว่าต้องเอาออก ต้องหยุดการท้องนี้ให้ได้ ฉันไปที่ร้านขายยาที่เคยซื้อแผ่นทดสอบ ดูเหมือนไม่ต้องพูดอะไรมากคนขายก็จัดยามาให้เป็นชุด เขาบอกให้กินจนหมดทั้ง 6 เม็ด ถ้ายังไม่ออกให้กลับมาหาใหม่

ฉันกินยาทุกอย่างตามที่ร้านขายยาแนะนำ เริ่มตั้งแต่ยาอะไรไม่รู้จำนวน 6 เม็ด ต่อด้วยยาสตรีกับเหล้าขาวอีกหนึ่งอาทิตย์ ตามด้วยยาแผงละ 100 บาทที่มีแผงละ 10 เม็ดอีก 1 แผง ก็ยังไม่ออก

ในที่สุดฉันตัดสินใจเล่าเรื่องให้อาจารย์คนหนึ่งที่สนิทกันฟังตอนแรกอาจารย์อยากให้ไปแจ้งความ จะได้ไปขอให้หมอที่โรงพยาบาลทำแท้งให้ได้ แต่ฉันไม่กล้า ฉันไม่อยากให้ใครมารู้ว่าฉันโดนข่มขืนในที่สุดอาจารย์รับปากว่าจะคิดหาทางช่วยเหลือแต่ยังอยากให้ฉันลองคุยกับแม่ ฉันยังไม่กล้าอยู่ดี

เพื่อนในกลุ่มก็พยายามหาทางช่วย ครั้งหนึ่งเพื่อให้ไปยืนบนสะพานสูงซัก 10 เมตรเห็นจะได้ แล้วถีบฉันตกน้ำ บางครั้งก็ให้ซ้อนมอเตอร์ไซด์แล้วพาไปทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อ อีกคนแนะนำให้สูบบุหรี่จากที่ไม่เคยสูบ กลายเป็นคนสูบได้คล่อง แต่สูบไปเป็นสิบๆ ซองก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หลังจากนั้นอาจารย์ให้เงินมาสี่พันบาท ฉันเอาเงินเก็บของตัวเองมาสมทบอีกสองพันรวมเป็นหกพันบาท เพื่อเดินทางไปอีกอำเภอหนึ่งที่เพื่อนไปสืบมาว่ามีบ้านที่รับทำแท้ง

คืนนั้นฉันนอนร้องไห้ ในใจหนึ่งรู้สึกสงสารเด็กเพราะเริ่มดิ้นแล้ว ใจหนึ่งก็กลังไปตาย ยังไม่ได้คุยกับแม่ แล้วถ้าตายไปพ่อแม่จะทำอย่างไร เขาจะไม่เหลือลูกไว้ดูแลยามแก่เฒ่าเลย อีกใจหนึ่งก็รู้สึกฮึดว่าต้องรอด ต้องได้กลับมาเรียนจนจบพร้อมเพื่อนๆ ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจว่าต้องเสี่ยง ตายเป็นตาย ยังไงก็ต้องลองดู

ราวกับอยู่ในฉากหนังไทยสมัยก่อน บ้านนั้นเป็นบ้านไม้โทรมๆ มียายแก่ๆ นั่งอยู่ในบ้าน แกถามว่ากี่เดือนแล้ว ฉันบอกจะหกเดือนแล้ว แกบอกสบายมาก แปดเดือนยังเคยช่วยมาแล้ว

ยายให้ฉันเปลี่ยนไปใส่ผ้าถุง นอนบนเสื่อเก่าๆ ชันขาขึ้น แล้วแกก็ใช้มือล้วงเข้าไปในช่องคลอด ถุงมือก็ไม่ได้ใส่ แต่ตอนนั้นฉันไม่นึกถึงความสะอาดหรือสกปรกอะไรทั้งสิ้นทั้งปวง ยายบอกว่าจะใส่สายยางเข้าไปในมดลูก และฉีดน้ำยาอะไรสักอย่าง

แต่เวลาก็ผ่านไปถึงสี่ชั่วโมง โดยยังไม่สามารถสอดสายยางเข้าไปได้ ฉันเริ่มเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลามีเลือดไหลไม่หยุด ยายให้เพื่อนฉันคอยหั่นมะนาวจิ้มเกลือให้ฉันกินทั้งเปลือก

ในที่สุดก็บอกว่าสายยางเข้าไปได้แล้ว แกเริ่มฉีดน้ำยากลิ่นเหม็นอย่างกับยาฉีดศพ ฉันเริ่มรู้สึกร้อนภายในท้อง ยายบอกว่าให้ลุกขึ้นได้ ใส่ผ้าอนามัยเอาไว้กันเลือดและน้ำยาไหลออกมาเลอะเทอะ หลังจากนี้จะแท้งเอง แต่ถ้ายังไม่แท้งให้กลับมาจะรับผิดชอบทำต่อให้

ฉันอ่อนเปลี้ยไปหมดทั้งร่างกายและจิตใจ พยายามไม่คิดอะไรมาก มุ่งอยู่อย่างเดียวว่าต้องแก้ปัญหาให้ได้ คืนนั้นฉันไม่กลัวกลับบ้านไปนอนที่บ้านเพื่อน

วันรุ่งขึ้นมีเลือดออกมาจากช่องคลอดเต็มไปหมด กลิ่นเหม็นเหมือนกลิ่นน้ำหนอง ฉันกลัวแทบขาดใจรีบไปที่โรงพยาบาล พอหมดมาดูปุ๊บก็ด่าฉันเสียใหญ่โต ฉันยอมรับกับหมดว่าไปทำแท้งมา อ้อนวอนให้ช่วยฉันที ในที่สุดหมอก็ยอมฉีดยาให้

ฉันต้องฉีดยาทุก 4 ชั่วโมง วันรุ่งขึ้นเขาพาฉันไปอัลตราซาวน์ปรากฏว่าเด็กยังอยู่ปกติดีทุกอย่าง หมอบอกว่าเหมือนปิดประตูฉีดน้ำไม่เข้าในมดลูกเลย แต่เข้าไปในช่องท้อง ทำลายอวัยวะทุกส่วน ถ้ามาช้ากว่านี้จะตกเลือดจนช็อคตายได้เลย หมอบอก

ฉันนอนอยู่โรงพยาบาลรวมสามคืน ไม่มีใครมาเฝ้า แม่รู้แล้วเพราะให้ลูกพี่ลูกน้องไปบอก แต่แม่คงไม่กล้ามาเพราะกลัวพ่อจะรู้เป็นช่วงเวลาที่ใจมันช้ำที่สุด เห็นคนไข้คนอื่นมีญาติมาดูแล พยาบาลก็พูดจาดีๆ ด้วย ส่วนฉันพยาบาลแทบจะไม่มาจับต้องตัวเลย

พอออกจากโรงพยาบาล ฉันกลับเข้าบ้าน ใส่สเตย์รัดท้องเอาไว้ บอกพ่อว่าจะเข้ากรุงเทพมาหาญาติ พ่ออนุญาต

“กลับมาคนเดียวนะ” แม่กระซิบบอกกำชับ

จากนั้นเพื่อนคนหนึ่งก็พาเข้ากรุงเทพ ตามคำแนะนำของอาจารย์ที่อ่านเจอในนิตยสารว่ามีบ้านพักฉุกเฉินอยู่ที่ดอนเมือง ตอนนี้ฉันยังพักอยู่ที่บ้านพักนี้ ยังไม่แน่ใจนักว่าจะยกเด็กหรือจะเลี้ยงเอง ช่วงแรกๆ ที่รู้ว่าท้อง ฉันเคยดุด่า ไล่ให้เขาออกไปจากท้องฉัน เคยทุบ เคยตี จนตัวเองเจ็บ แต่หลังๆ มานี่ ฉันเริ่มสงสารพูดจาดีๆ กับเขา ยังไงก็อุ้มเขามาเจ็ดแปดเดือนแล้ว

ฉันนึกย้อนกลับไปดูปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันไม่น่าเชื่อเลยว่าฉันจะมีชะตาชีวิตาอย่างนี้ ฉันไม่เคยเที่ยวเตร่ออกนอกลู่นอกทาง ไม่เคยคบเพื่อนชาย เป็นเด็กเรียน ช่วยอาจารย์ทำกิจกรรมมาตลอด

มาทบทวนดูจริงๆ แล้วสิ่งที่ทำให้ฉันตัดสินใจทำแท้งมันมาจากสองอย่าง อันดับแรกเลยฉันกลัวพ่อแม่อับอายขายขี้หน้าชาวบ้าน

อย่างที่สองก็คืออนาคตของฉันเอง ถ้าเก็บเด็กไว้ ฉันก็ต้องหยุดเรียน เพื่อนๆ เรียนกันจบ แต่ฉันกลับเรียนไม่จบ จะกลายเป็นตัวประหลาดที่ถูกชาวบ้านจับตามองและซุบซิบนินทา

หาอ่านได้จาก : หนังสือ “มีเรื่องอยากเล่าให้ฟัง เสียงจากผู้หญิงที่ตั้งท้องเมื่อไม่พร้อม”
ที่มา : มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เต็มที่แบบ “ณเดชน์ คูกิมิยะ” กับจังหวะชีวิต 2 ภาค

วินาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักหนุ่มลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น อย่าง "ณเดชน์ คูกิมิยะ" ดาราดาวรุ่งหน้าใหม่ ที่พกความหล่อเหลาบาดใจสาวๆ บวกความขี้เล่น ติดดิน ซ้ำเจ้าตัวยังเปิดเผยตลอดว่าเป็นคนพื้นเพภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แถม "เว้าอีสาน" ทุกครั้งที่มีโอกาส มิหนำซ้ำกระแสละครหลังข่าวก็ดังเปรี้ยงๆ เล่นเอานิตยสารหลายสิบปกจองตัวกันให้ควั่ก ไม่ดังตอนนี้แล้วจะไปดังตอนไหน!

แต่ที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบ คือหนุ่มน้อยหน้าใสนิสัยดีคนนี้ นอกจากจะต้องทำหน้าที่เป็นนักแสดงและนายแบบแล้ว เขายังต้องมุมานะในบทบาท "เฟรชชี่" ของสาขาภาพยนตร์และวิดีทัศน์ คณะนิเทศศาสตร์ ม.รังสิต อีกด้วย

...กว่าจะมีผลงานทั้งหลายออกมาให้แฟนๆ ชื่นชมและยังต้องเรียนไปด้วย จะโหด มันส์ ฮา แค่ไหน ตามมาดูกันเลย!



ณเดชน์ คูกิมิยะ หรือชื่อที่คนในครอบครัวเรียกว่า “แบร์รี่” เปิดประเด็นสนทนาด้วยการบอกเหตุผลของการเลือกเรียนในสาขาดังกล่าวว่า เป็นเพราะชื่นชอบการทำงานเบื้องหลัง และการทำภาพยนตร์สั้นมาตั้งแต่ชั้นมัธยมปลายแล้ว เมื่อได้เข้ามาศึกษาต่อ จึงอยากต่อยอดความรู้เกี่ยวกับการทำภาพยนตร์ให้มากขึ้น

"มันเป็นเหมือนการต่อยอดด้วยเพราะผมก็ทำงานในวงการ ต่อมาก็เริ่มสนใจเรื่องการถ่ายภาพด้วยเพราะการเรียนนิเทศฯ ต้องมีกล้อง ต้องใช้เรียนในวิชาการถ่ายภาพเบื้องต้น แล้ว ปี 2 ปี 3 อาจจะต้องถ่ายหนัง ทำหนังสั้น ก็จะต้องใช้กล้องวิดีโอ โดยส่วนตัวแล้วผมชอบถ่ายรูป ฝึกถ่ายรูปมาเรื่อยๆ มีวิชานอกสาขาที่ได้เรียนเกี่ยวกับการถ่ายภาพนิ่ง อาจารย์ก็พาไปถ่ายรูปตามสถานที่ต่างๆ เช่น อยุธยา ก็เหมือนกับเป็นการฝึกถ่ายรูปไปด้วย ก็รู้สึกสนใจครับ"


ดาราดาวรุ่งดวงใหม่รายนี้เล่าต่อว่า การได้ฝึกถ่ายภาพและหาความรู้ด้านนี้อยู่เสมอ มุมมองของภาพเคลื่อนไหวกับภาพนิ่งอาจมีลักษณะในรายละเอียดบางอย่างที่คล้ายๆกัน มีอะไรหลายๆอย่างที่นำมาศึกษาได้ ทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับมุมกล้องและการสื่อความหมายของภาพ โดยเฉพาะการได้เข้าฟังความรู้เรื่องภาพถ่ายท่องเที่ยว ก็ทำให้ได้มุมมองเรื่องการถ่ายภาพมากขึ้น

"ก็ได้เรียนรู้ว่าการถ่ายภาพก็ขึ้นอยู่กับจินตนาการ แล้วก็ความคิดของบุคคลนั้นว่าเขาต้องการจะสื่อภาพออกมาในลักษณะแบบใด และต้องการสื่อให้กับใครดู สำหรับความเป็นจริงของภาพท่องเที่ยว มันก็เป็นความจริงทุกภาพของช่างภาพที่เอามานำเสนอ เขามีความเป็นจริงของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า คนที่มองอาจจะมองไม่เห็นในมุมเดียวกันกับที่เขาสื่อออกมา คือถ้ามันออกมาจริงและสวยด้วยมันก็ดี ดูแล้วก็เกิดความอยากไป"

นอกจากนี้ หนุ่มลูกครึ่งเล่าต่อไปว่า หากมีโอกาสได้เป็นผู้กำกับ จะดีใจมาก เพราะถือเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งที่อยากทำมาตลอด หากมีโอกาสก็ตั้งใจจะเรียนสาขานี้ไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับการทำงานในวงการ

"ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะมีความสามารถขนาดนั้นหรือเปล่า ก็มีอีกตั้งหลายปีที่จะวัดความสามารถของเรา เพราะเพิ่งเรียนชั้นปีที่ 1 เผลอๆอาจจะเรียนไม่ได้อาจจะย้ายสาขาก็ได้ วันหนึ่งอาจปลีกตัวไปทำอย่างอื่นหรืออาจทำงานวงการบันเทิงไปชั่วชีวิตเลยก็ได้ แต่ผมก็มองอีกมุมหนึ่งว่า ผมก็อยู่ในฐานะที่เป็นนักศึกษาอยู่ ตัวงานในวงการมันก็ไม่ได้สำคัญมากกว่าการเรียนในตอนนี้ แต่ว่ามันเป็นโอกาสๆหนึ่งที่ทำให้ผมและครอบครัวมีรายได้ ผมมีเงินเก็บ ได้เจอสังคมที่คนอื่นไม่ได้เจอในขณะที่ยืนอยู่ในฐานะนักศึกษาเหมือนผม"


ณเดชน์ให้ทัศนะเกี่ยวกับการเรียนและการทำงานควบคู่กันว่า การทำ 2 อย่างพร้อมๆ กัน ย่อมมีอุปสรรคแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องเวลาที่เขาจำเป็นจะต้องบริหารจัดการให้ดี เพื่อที่จะสามารถทำทั้งสองอย่างไปพร้อมๆกันได้แม้ว่าจะเหนื่อยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถและความมุ่งมั่นตั้งใจ

"ผมเรียน 3 วัน พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ พุธไม่รับงาน พฤหัสบดี-ศุกร์ รับบ่ายเพราะเรียนเช้า ถ้าวันไหนว่างก็โชคดีไป ถ้าวันไหนมีงานก็ไปทำงาน ถ้าถามว่าเหนื่อยมากถึงขนาดไม่ไหวมั้ย มันก็ไม่ใช่ เรายังพอทำได้อยู่ มันก็เหนื่อยครับแต่ว่าเวลาแม่เห็นเราได้รับรางวัล เห็นผลงานเราตามนิตยสารต่างๆ แม่ก็จะชม จะดีใจ รู้สึกปลื้มในสิ่งที่เราทำ มันทำให้เรารู้สึก เฮ้ย! เราต้องทำได้และทำให้ดีกว่านี้ขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งแม่ก็บอกว่า เรียนก็เรียนแต่อย่าไปเครียด ทำงานก็ทำงานแต่อย่าไปเครียด บางคนบอกว่าจับปลา 2 มือมันยาก เผลอๆ จับไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ความจริงเราอาจจะจับได้นะ แต่เราจะจับยังไง ใช้วิธีไหนจับมากกว่า ก็เหมือนกับว่าตอนนี้ผมเรียนกับทำงาน ผมจะทำยังไงเพื่อที่จะประคอง 2 อย่างนี้ ให้มันได้ตลอดรอดฝั่ง"


ณเดชน์ยังเล่าชีวิตนักศึกษาที่ต้องทำงานคู่กันไปด้วยว่า การเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หากเราทิ้งการเรียน เพื่อหันเข้าหาวงการบันเทิงอย่างเต็มตัว ก็อาจเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป หากวันหนึ่งไม่สามารถอยู่ในวงการได้ ก็กลายเป็นคนไม่มีความรู้ ไม่มีการศึกษา และที่สำคัญต้องเชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่ แม้ว่าวัยรุ่นบางคนจะไม่ชอบ หรือเบื่อที่จะฟัง แต่สำหรับเขากลับมองว่าคำสอนเหล่านั้นเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด

"ตอนนี้การเรียนก็สำคัญกว่า สมมติผมเลือกที่จะทำงานในวงการแล้วไม่เรียน แล้ววันหนึ่งผมไม่ได้ทำงานตรงนั้นแล้ว ก็กลายเป็นคนไม่มีการศึกษา มันดูต่ำต้อยนะในความรู้สึกส่วนตัวของผม คือ ครอบครัวเราตั้งความหวังว่าให้เราเรียนให้จบมหาวิทยาลัย พ่อผมบอกเสมอว่าไม่ต้องต่อโท ต่ออะไรหรอก จบ ป.ตรีแล้วก็ทำงานเอาประสบการณ์ดีกว่า ก็พ่อแม่บอกอะไรเราก็ฟัง อันไหนเราไม่เห็นด้วยเราก็คุยกันได้ ซึ่งส่วนมากคำพูดของผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ พ่อแม่เคยผ่านชีวิตวัยรุ่นวัยเรียนมาก่อน เขาก็จะบอกเราได้ ถ้าน้องๆเพื่อนๆที่อยากเข้าวงการบันเทิง ควรให้พร้อมก่อน พร้อมเรื่องเวลาไหม ความรับผิดชอบคุณพร้อมไหม คุณดูแลตัวเองได้ไหม ครอบครัวคุณพร้อมไหม มันหลายๆอย่าง เอาเป็นว่าก็ตั้งใจเรียนก่อน และเชื่อฟังพ่อแม่ครับ" ณเดชน์ทิ้งท้าย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สาวหล่อหน้าหวาน นัน สุนันทา ยูรนิยม


คงจะคุ้นหน้าคุ้นตากันมาบ้างสำหรับ นัน สุนันทา ยูรนิยม ที่เคยวาดลวดลายการแสดงไว้ในละครหลายเรื่อง ทางช่อง 7 สี ซึ่งตอนนี้ นัน สุนันทา ยูรนิยม ก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในอินเทอร์เน็ตหนาหูมาก ๆ ถึงการสลัดคราบจากสาวน้อยหน้าหวาน กลายเป็นทอมหล่อซะงั้น! ทำให้หนุ่ม ๆ หลายคนถึงกับออกปากเสียด๊าย…เสียดาย กับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แถมยังมีข่าวแว่ว ๆ ว่า นัน สุนันทา ยูรนิยม เป็นตัวเก็งในรอบ 8 คน สุดท้ายของประกวดเดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาวปีที่ 7 (The star 7) ซะด้วย ... เอาเป็นว่าเราไปทำความรู้จักกับ นัน สุนันทา ยูรนิยม กันดีกว่าค่ะ


โดย นัน สุนันทา ยูรนิยม ได้เข้าวงการตั้งแต่อายุ 15 ปี และมีผลงานผ่านตาทั้งละคร และโฆษณามามากมายหลายชิ้น อีกทั้งยังได้ประกวดเวทีมิสทีนไทยแลนด์ 2009 อีกด้วย แถมล่าสุดก็ได้เข้าประกวดเวทีเดอะสตาร์ค้นฟ้าคว้าดาวปีที่ 7 เวทีประกวดนักร้องคุณภาพระดับประเทศ ซึ่งยังไม่ทันที่จะประกาศผล 8 คนสุดท้าย แต่คะแนนนิยมจากอินเทอร์เน็ตส่งกำลังใจมาให้ นัน สุนันทา ยูรนิยม กันอย่างล้นหลาม แถมยังมีสาว ๆ ตกหลุมรักในหน้าหวาน ๆ สมัครแฟนคลับ นัน สุนันทา ยูรนิยม กันเป็นแถวเลยทีเดียว

เอ้า..ใครที่ชื่นชอบสาวหล่อคนนี้อย่าง นัน สุนันทา ยูรนิยม ก็ติดตามผลงานของเธอกันต่อไปนะค่ะ


ประวัติ นัน สุนันทา ยูรนิยม

ชื่อ : นัน สุนันทา ยูรนิยม

ชื่อเล่น : นัน

อายุ : 20 ปี

เกิด : วันที่ 1กุมภาพันธ์ พ.ศ.2534

การศึกษา:

ระดับมัธยมศึกษา : ศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์ฯ

ระดับมหาวิทยาลัย : มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ

ผลงาน :

ประกวดเวที มิสทีนไทยแลนด์ 2009

ละคร แว่วเสียงซึง

ละคร เหนือทรายใต้ฟ้า

ละคร สตรีที่โลกลืม

ร้องเพลง ประกอบละครเหนือทรายใต้ฟ้า

ผลงานโฆษณา 16 ชิ้น

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก นัน thestar7

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อยู่ก่อนแต่ง - แต่งก่อนอยู่” ประเด็นฮิตคู่วัยโจ๋มหา’ลัย

อยู่ก่อนแต่ง - แต่งก่อนอยู่” ประเด็นฮิตคู่วัยโจ๋มหา’ลัย
ยุคสมัยนี้ คนจะรักกันไม่ใช่เรื่องยากเหมือนสมัยก่อน โดยเฉพาะวัยโจ๋ทั้งหลายเมื่อมีโอกาสได้ไปเรียนไกลบ้าน ไกลหูไกลตาผู้ปกครอง ก็มีโอกาสพบเจอคนมากมาย ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้เจอกันง่าย รักกันง่าย แล้วก็ "อยู่ก่อนแต่ง" กันง่ายขึ้น จนมีให้เห็นชินตาตามหอพักนักศึกษา บางคู่อยู่ด้วยกันแล้วดูแลเอาใจใส่กันดีเสมอต้นเสมอปลายจนเป็นฝั่งเป็นฝาแต่งงานกันไปในที่สุด ก็นับว่าโชคดีไป แต่ก็ใช่จะเป็นอย่างนั้นทุกคู่ ทุกคน

ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าการอยู่ก่อนแต่งในวัยเรียนส่งผลเสียต่อบางคู่ เช่น การตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม เพราะยังต้องเรียนหนังสือ ตามมาด้วยปัญหาการทำแท้ง เป็นต้น คำกล่าวที่ว่า "รักง่าย หน่ายเร็ว" จึงเสมือนสัญลักษณ์ของวัยโจ๋สมัยนี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้การอยู่ก่อนแต่ง หรือ แต่งก่อนอยู่ จึงมีเหตุผลแตกต่างกันไป

ในมุมมองของต่างชาติ โดยเฉพาะโลกตะวันตก ถือว่าการอยู่ก่อนแต่งเป็นเรื่องปกติ เพราะไหนจะประหยัดเรื่องค่าใช้จ่ายซึ่งมีผลเกี่ยวข้องกับการจ่ายภาษี หรือส่วนลดหย่อนภาษี ยังมีเรื่องข้อผูกพันตามกฎหมาย เพราะบางคนแต่งงานไปแล้วไปด้วยกันไม่ได้ หากต้องการหย่า จำเป็นต้องรออีกเป็นเวลา 2 ปี จึงสามารถเซ็นใบหย่าได้ (สำหรับประเทศในกลุ่ม EU) เพราะรัฐบาลต้องการให้คน 2 คนมั่นใจจริง ๆ ว่าเลิกกัน ไม่ใช่เลิกกันวันนี้ แล้วสัปดาห์ถัดไปกลับมาดีกันอีก หรือหากมีลูกก็ต้องมีผลบังคับในเรื่องเงินเลี้ยงดูด้วย ฉะนั้นต้องมั่นใจจริงๆ ว่าเขาและเธอ สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนอีกคนหนึ่งได้โดยไม่มีปัญหาตามมาในอนาคต

แต่สำหรับ โลกตะวันออกอย่างเมืองไทย ซึ่งในปัจจุบันก็มีการนำวัฒนธรรมแนวคิดของตะวันตกมาปรับใช้ในชีวิตไม่น้อย จึงเป็นเรื่องน่าสนใจว่าความคิดเห็นของนักศึกษานั้น "คิดเห็นอย่างไร กับการอยู่ก่อนแต่ง ?"

เริ่มที่ "แก้ม" นักศึกษาหญิงชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง มองว่าไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร ถ้าความคิดความอ่านโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ รู้ว่าสิ่งไหนผิดหรือถูก ควรป้องกันอย่างไร

“ถ้าเราอยู่กับแฟนแล้วชวนกันเรียน ไม่ได้พากันโดดเรียน หรือกินเหล้าเมายา ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเสื่อมเสียอะไร แต่ก็ขึ้นอยู่กับครอบครัวของเราด้วยว่ารับกับเรื่องแบบนี้ได้หรือเปล่า การให้เหตุผลกับครอบครัวว่า จำเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของเรา ว่ามีจุดประสงค์อย่างนั้นจริงหรือเปล่า หรือแค่โกหกให้ครอบครัวสบายใจ ถ้าครอบครัวเราเข้าใจในสภาวะโลกที่เปลี่ยนไปทุกๆวันได้แล้ว คิดว่าพ่อแม่ก็น่าจะเข้าใจ แล้วเปิดประตูให้เราปรึกษาเรื่องต่างๆกับเขาเพิ่มขึ้นด้วย เพราะการอยู่ก่อนแต่ง สามารถทำให้เรารู้จักคนที่เรารักมากขึ้น ทำให้เราได้เรียนรู้ในตัวของเขามากขึ้น เราจะได้เห็นมุมมองความคิดเขาอย่างแท้จริง ว่าเขาให้เกียรติเราขนาดไหน เขาดูแลเราได้จริงๆหรือเปล่า เขาเป็นคนสม่ำเสมอขนาดไหน” แก้ม กล่าว

นักศึกษารายนี้ กล่าวต่อไปว่า หากรู้ว่าคนที่เราอยู่ด้วยเป็นอย่างไรแล้ว บางครั้งก็ทำให้เราหยุดคิดได้ว่า ความรักที่จะให้กับคนคนหนึ่ง ควรให้มากหรือน้อยขนาดไหน ควรรักเขา หรือรักตัวเองแค่ไหน แล้วให้น้ำหนักกับคำว่ารักมากแค่ไหน สำหรับช่วงเวลานั้น

ด้าน "ทาทา" นักศึกษามหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ คิดว่าการที่นักศึกษาหญิง-ชายอยู่ด้วยกันก่อนแต่ง อาจเป็นเรื่องปกติของคนในสังคมไทยไปแล้ว แต่ก็แล้วแต่มุมมองของคน เพราะผู้ใหญ่อาจไม่เห็นด้วย แต่ถ้าสังคมในเมืองหลวงอาจเป็นเรื่องธรรมดา เพราะการที่อยู่ด้วยกันก่อนแต่ง เหมือนการลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ว่าจะอยู่ด้วยกันได้หรือเปล่า

“ถ้าแต่งงาน แต่ไม่เคยอยู่ด้วยกัน บางครั้งก็อาจจะเบื่อกันได้ เพราะต่างคนต่างไม่เคยรู้นิสัยของแต่ละคนมาก่อน เพราะการแต่งงานไม่ได้เป็นเครื่องวัดว่าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้ตลอดหรือไม่ เหมือนเป็นเพียงข้อตกลงอย่างเป็นทางการให้คนอื่นรับรู้ตามประเพณีที่ถูกต้อง แน่นอนว่าถ้ายึดตามหลักประเพณีก็ต้องแต่งก่อนอยู่ถึงจะเหมาะสม แต่ถ้ามองตามหลักความเป็นจริง จะอยู่ก่อนหรือจะแต่งก่อนไม่ใช่เรื่องสำคัญ มันอยู่ที่การใช้ชีวิตด้วยกันระหว่างคนสองคนมากกว่า” นักศึกษาสาว แสดงความเห็น

ส่วนความเห็นของหนุ่มๆอย่าง "จิ๊บ" นักศึกษาชายชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยรัฐชื่อดัง คิดว่าการอยู่ก่อนแต่งในวัยเรียน เป็นเรื่องธรรมดาของคนยุคนี้ไปแล้ว

“เป็นการทำให้ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ได้รู้นิสัยใจคอที่แท้จริงของอีกฝ่าย และเราก็มีเวลาทบทวนว่าจะไปกับเขาได้ไหม ดีกว่าแต่งแล้วค่อยอยู่ เพราะถ้าแต่งแล้วอยู่ด้วยกัน เมื่อมีปัญหาต่างคนต่างเข้ากันไม่ได้ มารู้อะไรอีกหลายๆอย่างของอีกฝ่ายแล้วรับไม่ได้ ก็อาจสายไปที่จะเลิกคบ แล้วถ้าถึงขั้นต้องหย่าร้างกันจะกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านอีก” จิ๊บให้ความเห็น

แต่สำหรับ "โอม" นักศึกษาชายชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเดียวกัน เห็นว่า คำว่าแต่งงาน ความหมายก็บอกอยู่แล้วว่า จะต้องมีงานเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิต ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น เพราะไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

“เราต้องรับผิดชอบกับอนาคตที่จะเกิดขึ้นภายหน้า วัยรุ่นสมัยนี้อยู่ก่อนแต่งทั้งๆที่บางคนยังต้องแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่เลย ผมคิดว่าเรียนให้จบ มีงานทำก่อน แล้วค่อยคิดจะมีชีวิตคู่ร่วมกัน มันก็ไม่สาย ถ้าสถานะตัวเราเองยังไม่มั่นคง แล้วครอบครัวจะมั่นคงได้ยังไง ส่วนคนที่เห็นว่าการแต่งงานเป็นแค่การอุปโลกน์ ผมคิดว่าเป็นการคิดแบบมักง่ายมากกว่า เป็นการสอนให้คนทำอะไรมักง่าย"

ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงด้านหนึ่งจากการสำรวจของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ที่สำรวจพฤติกรรมเยาวชน ของเด็กและเยาวชน ในรอบปี 2551-2552 โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง 150,000 คน ครอบคลุมทั้ง 5 ช่วงวัย คือ ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย อาชีวศึกษา และ อุดมศึกษา พบว่าในเด็กอาชีวศึกษาและอุดมศึกษายอมรับว่าเคยมีเพศสัมพันธ์แล้วเฉลี่ยร้อยละ 37 และยอมรับการอยู่ก่อนแต่งร้อยละ 50 โดยยังพบวัยรุ่นหญิงอายุต่ำกว่า 19 ปีมาทำคลอดจำนวน 69,387 รายหรือเฉลี่ยวันละ 190 ราย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ภาพประกอบจาก forward mail

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สำนวนอังกฤษที่จำเป็นในการจัดการโปรเจ็ค


สำนวนอังกฤษที่จำเป็นในการจัดการโปรเจ็ค
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้จัดการโปรเจ็คหรือเป็นหนึ่งในทีมงานนั้น คุณก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้สำนวนในการดำเนินโปรเจ็คได้เพราะในปัจจุบันจะถูกใช้กันอย่างมากมายในออฟฟิศทั่วโลก ปัญหาก็คือคุณไม่สามารถหาคำแปลสำนวนเหล่านี้ได้จากดิกชันนารี เรียนรู้จากคำแนะนำของเราเรื่องสำนวนภาษาที่ใช้กันในออฟฟิศเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโปรเจ็ควันพรุ่งนี้!
Define the scope หนึ่งในก้าวแรกของการดำเนินโปรเจ็คคือการระบุผลกระทบและขอบเขตของโปรเจ็ค หรือการสร้างproject scope และscopeควรให้รายละเอียดถึงผลิตผลสุดท้ายที่โปรเจ็คนี้ก่อให้เกิด
คุณสมบัติพิเศษ

Establish a timeline ต่อไปคุณควรตัดสินว่าจะใช้ระยะเวลาเท่าใดในการทำแต่ละขึ้นตอนของโปรเจ็คนั้นให้สมบูรณ์โดยการสร้างtimeline เพื่อที่คุณจะรู้ว่าคุณอยู่จุดไหนของโปรเจ็คและทำเวลาได้ดีตรงตามที่กำหนดไว้หรือไม่จนกว่าโปรเจ็คนั้นจะสิ้นสุดลง
Specify target outcomes คุณจะวัดความสำเร็จของโปรเจ็คได้อย่างไร? มันสำคัญที่คุณต้องระบุ target outcomes หรือผลที่ต้องการที่ประมาณผลประโยชน์ได้เพื่อใช้ในการวัดความสำเร็จของโปรเจ็ค
Determine necessary outputs พิจารณาถึงผลผลิต บริการ ธุรกิจ การจัดการ หรือที่กล่าวรวมๆ ว่า outputs ที่จำเป็นเพื่อที่คุณจะบรรลุ target outcomes ให้เป็นผลสำเร็จ
Put a project team together บุคคลกรเป็นหัวใจสำคัญในความสำเร็จของโปรเจ็จของคุณ เลือกสรรเอาพนักงานที่มีความสามารถเข้ามาร่วมในproject teamของคุณ นั่นคือทีมของผู้คนที่ร่วมกันทำงานเพื่อทำโปรเจ็คนั้นให้เป็นผลสำเร็จอย่างที่ตั้งไว้ คุณควรมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบให้แต่ละคนอย่างเหมาะสม
Record milestones เมื่อสมาชิกใน project team แต่ละคนทำสิ่งที่รับผิดชอบหรือขั้นตอนใดที่ระบุไว้สิ้นสุดลงแล้ว อย่าลืมทำการลงบันทึกไว้ด้วย Milestonesหมายถึงทั้งสิ่งที่สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ และสามารถใช้บ่งบอกถึงความก้าวหน้าของโปรเจ็ค
Create baseline metrics ความก้าวหน้าและการดำเนินไปของโปรเจ็คควรถูกประเมินโดยใช้ baseline metrics, ซึ่งก็คือกลุ่มของตัวบ่งชี้ที่ใช้วัดสมรรถภาพของโปรเจ็ค
Set a budget cost ตัดสินว่าคุณกะว่าโปรเจ็คนี้จะใช้งบประมาณเท่าใด และตั้งbudget costไว้ตั้งแต่การเริ่มต้นของโปรเจ็ค คุณสามารถปรับปรุง budget ของคุณและเพิ่มรายละเอียดได้ในภายหลัง
Produce deliverables เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปเป็นผลอย่างน่าพอใจตามที่ตกลงไว้ อย่าลืมเตรียมdeliverables, อย่างเช่นรายงานหรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องทำให้สมบูรณ์ แล้วก็ต้องทำให้เสร็จทันเวลาตามที่กำหนดไว้ด้วย!
Execute risk management ในทุกโปรเจ็คจะมีrisks หรือความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบถึงความสำเร็จหรือความล่าช้าของโปรเจ็คอยู่ด้วยเสมอ ผู้จัดการโปรเจ็คที่ดีจะดำเนินการกับ risk management โดยการระบุ วิเคราะห์ ประเมิน และกำจัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

from English town/MSN

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์

9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์
โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด
9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์ โดย วนิษา   เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด
1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์
เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ

2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน
ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที
เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Thet a ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)

4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื ่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ
ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ
สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์

บทสัมภาษณ์จาก : วนิษา เรซ

วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

ภูมิใจไหม ? สื่อแดนปลาดิบมองชุดนักศึกษาไทยเซ็กซี่ที่สุด

กลายเป็นกระแสร้อนแรงในโลกไซเบอร์ไปแล้ว สำหรับประเด็นสื่อจากประเทศญี่ปุ่นยกให้ “ชุดนักศึกษาไทย” เป็นชุดนักศึกษาที่เซ็กซี่ที่สุด !!

โดยข้อมูลที่อ้างจากเว็บไซต์ popcornfor2.com เผยว่า มีสื่อของญี่ปุ่นหลายฉบับ ต่างกล่าวว่า เครื่องแบบนักเรียน (ในที่นี่หมายถึงเครื่องแบบนักศึกษา) เป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องได้รับการประเมิน เนื่องจากเครื่องแบบก็กลายมาเป็นหนึ่งในแฟชั่นอีกประเภทเช่นกัน โดยได้จัดทำการสำรวจขึ้น ซึ่งผลการสำรวจ สื่อญี่ปุ่นได้ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา ว่า เครื่องแบบนักศึกษาของไทย เป็นเครื่องแบบนักศึกษาที่เซ็กซี่ที่สุด เพราะส่วนของเสื้อเชิ้ตจะโชว์ให้เห็นถึงสัดส่วนของร่างกาย ส่วนกระโปรงก็สั้นมาก โดยมีความยาวไม่ถึง 20 เซนติเมตร

เมื่อประเด็นข่าวดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ จึงกลายเป็นประเด็นร้อนแรงตามหน้าเว็บบอร์ดของไทยหลายแห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ก็แสดงความไม่เห็นด้วย เพราะมองว่า เครื่องแบบนักศึกษาในสายตาสื่อต่างชาติที่มองว่าเซ็กซี่นั้น ในความเป็นจริง คือ เครื่องแบบที่ผิดระเบียบ บางส่วนก็มองว่าเป็นความน่าอับอาย
นักศึกษาไทยเซ็กซี่ที่สุด
Life on Campus สำรวจความคิดเห็นในประเด็นนี้ กับนิสิตนักศึกษาไทย ว่ามีมุมมองอย่างไรต่อข่าวนี้

เริ่มที่ “พิมพ์ชฎา พูลทัศฐาน” นิสิตคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เผยว่า ส่วนตัวเวลาไปเรียน จะสวมกระโปรงสอบ เสื้อไม่รัดติ้ว ไม่นุ่งสั้นจนน่าเกลียดอยู่แล้ว แต่ก็ไม่แปลกใจว่าเหตุใดสื่อญี่ปุ่นจึงมองชุดนักศึกษาไทยว่าเซ็กซี่

“เหตุผล คือ นักศึกษาที่แต่งตัวผิดระเบียบมีเป็นจำนวนมากนั่นเองค่ะ หลายคนแต่งตามแฟชั่นจนดูล่อแหลม โดยเฉพาะสถานศึกษาบางแห่งที่ไม่เข้มงวดในการควบคุมชุดนักศึกษา ก็ยิ่งเห็นนักศึกษานุ่งสั้น รัดติ้วจำนวนมาก” พิมพ์ชฎา กล่าว

นิสิต มศว เผยต่อไปว่า คณะที่ตนเรียน มีนิสิตแต่งกายไม่เหมาะบ้างเหมือนกัน แต่มหาวิทยาลัยก็มีมาตรการในการควบคุม อาทิ หากแต่งกายไม่เหมาะสมจนถึงขั้นไม่สุภาพ รปภ.จะไม่อนุญาตให้ขึ้นไปบนอาคารเรียน รวมถึงอาจารย์จะเรียกไปว่ากล่าวตักเตือน

“การแก้ปัญหาเรื่องการแต่งกายของนิสิตนักศึกษา สำคัญที่สุดจึงอยู่ที่มหาวิทยาลัย ที่จะต้องควบคุม สร้างค่านิยมให้กับนักศึกษาว่าการแต่งกายถูกระเบียบเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งไม่ต้องถึงกับขนาดว่าต้องสวมเสื้อตัวใหญ่ หรือกระโปรงคลุมเข่าก็ได้ แต่ให้อยู่ในความเหมาะสมพอเหมาะพอดี นิสิตนักศึกษาเองก็ควรภูมิใจในเครื่องแบบสถาบันของตนเอง และต้องคิดว่าการแต่งกายแบบนั้นมีผลร้าย มากกว่าผลดี”

นิสิตศิลปกรรมฯ มศว สรุปทิ้งท้ายว่า การที่สื่อต่างชาติมีมุมมองเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจ เพราะภาพลักษณ์ด้านการศึกษา ไม่ควรเกี่ยวข้องกับความเซ็กซี่ และการแต่งกายถูกระเบียบย่อมเป็นเรื่องที่ดีกว่า
นักศึกษาไทยเซ็กซี่ที่สุด
สอดคล้องกับความเห็นของ “ศิรภัสสร อินนันชัย” นิสิตคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่แสดงความเห็นว่า รู้สึกไม่ดีที่ภาพลักษณ์ด้านการศึกษาไปเกี่ยวข้อง หรือสื่อไปในทางเพศ

“ที่คณะนิเทศฯ จุฬาฯ เวลานิสิตเข้าปี 1 จะมีกฎการแต่งกาย คือ สวมกระโปรงพีต กระโปรงต้องยาวครึ่งแข้ง เป็นชุดเฟรชชี่ที่ถูกระเบียบ เมื่อนิสิตขึ้นปี 2 ก็เลยไม่ค่อยมีใครแต่งรัดติ้ว นุ่งสั้นมากจนน่าเกลียด เพราะมันจะดูแปลก กลายเป็นที่จับตามองจากคนอื่นในคณะ ดังนั้นการรณรงค์เรื่องการแต่งกายที่มาจากเพื่อน พี่ น้อง ร่วมคณะ น่าจะช่วยได้มาก และการแก้ปัญหาก็ต้องช่วยกันสร้างค่านิยมที่เหมาะสม” นิสิต จากคณะนิเทศศาสตร์ กล่าว

ส่วนมุมมองของนักศึกษาชายอย่าง “ทศพร กล้าหาญ” นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ยอมรับว่า เป็นเรื่องจริง เพราะยังไม่เห็นชุดนักศึกษาประเทศไหนเซ็กซี่ขนาดนี้

“กระโปรงสั้นๆสีดำ กับขาขาวๆ ผมว่ามันตัดกันดูเซ็กซี่ดี แถมยังใส่ส้นสูงอีก เจอที่ไหนก็ต้องมอง คงเซ็กซี่ตรงตรงนี้แหละ เสื้อก็รัดทุกสัดส่วน ของต่างประเทศเขาไม่มียูนิฟอร์ม คือ เขาจะแต่งยังไงก็เรียนได้ แต่ก็น่าแปลก ภาพความเซ็กซี่ของเขาไม่ชัดเท่าของเรา”
นักศึกษาไทยเซ็กซี่ที่สุด

ตัวอย่างชุดนักศึกษาไทยที่ถูกระเบียบของมหาวิทยาลัย


แต่ในมุมมองของ “ศิริรัตน์ ชั่นศิริ” จากมหาวิทยาลัยนเรศวร กลับมองต่างกันไปว่า ประเทศอื่นน่าจะเซ็กซี่กว่านี้ ส่วนของประเทศไทยอาจจะใช่ในระดับหนึ่ง แต่คิดว่าหากเป็นอันดับหนึ่งก็ดูแรงไป

“คิดว่าเมืองนอกเขาฟรีสไตล์แต่งยังไงก็ได้น่าจะเซ็กซี่มากกว่าอีก ไทยมียูนิฟอร์มดูรัดกุมกว่า แต่อาจจะเป็นบางคนที่แต่งตัวแบบเซ็กซี่ก็เป็นส่วนน้อย อย่างบางคนต้องเดินทางขึ้นรถเมล์หรือขึ้นบันไดอะไรต่าง ๆก็ควรเซฟตัวเองให้มากที่สุด แต่บางคนรู้แต่ก็ไม่ทำ”

ศิริรัตน์ ยังให้ข้อคิดว่า ชุดนักศึกษาใส่แค่ 4 ปี เพราะฉะนั้นแต่งให้เหมาะสมดีกว่า อย่าให้ใครมาว่า หรือดูถูกชุดนักศึกษาไทยเลย บางคนแต่งชุดดูแล้วเหมือนไม่ใช่นักศึกษา น่าจะไปทำอาชีพอื่นมากกว่า

นอกจากนี้ Life on Campus ยังมีความคิดเห็นจากนิสิตต่างชาติอย่าง “Healin Han” หรือ “ลิน” นิสิตแลกเปลี่ยนจาก Far East University (FEU) ประเทศเกาหลีใต้ ที่มาศึกษา ณ มหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่ง Life on Campus เคยสัมภาษณ์เกี่ยวกับชุดนิสิตเอาไว้

โดย ลิน เผยว่า เป็นเรื่องที่เธอประหลาดใจ สำหรับเครื่องแบบนิสิต เพราะที่ประเทศเกาหลีมียูนิฟอร์มสำหรับนักเรียนมัธยมเท่านั้น แต่เธอก็รู้สึกว่าเครื่องแบบนิสิตนักศึกษาไทยเป็นสิ่งที่ดี

“ฉันก็รู้สึกแปลกๆ แต่สักพักก็รู้สึกดี คิดว่าเป็นเครื่องแบบที่สวยงาม แล้วเป็นเรื่องที่ดี เพราะไม่ต้องเสียเวลาในการเลือกว่า วันนี้ฉันจะใส่ชุดอะไรไปมหาวิทยาลัย” สาวเกาหลี ให้ความเห็น

ข้อมูลจาก manager online